วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กล้ามเนื้ออ่อนแรง

สวัสดีคะวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรงนะคะเนื่องจากแม่ของเอิงเป็นโรคนี้อยู่เอิงเลยหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนะคะลองไปอ่านดูกันนะคะ
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอ็มจี - เอแอลเอส อันตรายแค่ไหนนะ?


         โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส  



          สำหรับ โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี ฟังชื่อแล้วดูแปลก ๆ ไปสักนิด นั่นเพราะเป็นชื่อภาษากรีกและละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ประเภทหนึ่ง มักเกิดกับกล้ามเนื้อเล็ก ๆ บริเวณใบหน้า โดยมีการทำงานสื่อสารกันระหว่างเส้นประสาท และกล้ามเนื้อลายผิดปกติ ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง  



          ทั้งนี้ โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีมานานแล้ว โดยมีการบันทึกว่าพบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน



มักพบโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ในกลุ่มใด



          โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มักเกิดกับผู้ใหญ่ และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่หากอาการของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส เริ่มเป็นหลังอายุ 40 ปี จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง




          อาการของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส



          ผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จะมีอาการหนังตาตก ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด เคี้ยวและกลืนลำบาก เพราะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า 



          แต่หากเป็นมากก็อาจทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัว เช่น กล้ามเนื้อแขนและขาอ่อนแรงลงได้ รวมทั้งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับระบบหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ไอไม่ได้ หรือหากรุนแรงมาก ๆ สามารถทำให้ระบบหายใจล้มเหลวได้เลยทีเดียว แต่สำหรับกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบต่าง ๆ ในร่างกายจะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย



          โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จัดเป็นโรคเรื้อรัง อาการต่าง ๆ มักเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา และอาการจะดีขึ้นเองหลังจากหยุดพักใช้งาน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อาการโรคนี้รุนแรงขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อ เป็นไข้ ร้อนหรือเย็นเกินไป เครียด ออกแรงมากเกินไป มีประจำเดือน ตั้งครรภ์ โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ และการทานยาบางชนิด



          ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ส่วนใหญ่จะมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาเป็นสัปดาห์จนถึงเดือน แต่ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงฉับพลันได้ เช่น มีภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมักมีอาการเปลี่ยนแปลงได้มากในช่วง 4 ปีแรก และมีอาการรุนแรงมากในช่วง 3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นอาการจะคงที่ และค่อย ๆ ดีขึ้น โดยใช้เวลาเป็นปี ๆ หากได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง



          นอกจากนี้ ในเด็กบางคนที่เป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ตั้งแต่เกิด จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง และขยับได้น้อย ส่วนเด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่แรกคลอด และเป็นอยู่ราว 2 สัปดาห์ ก่อนจะหายได้เอง



          สาเหตุของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส



          มีสาเหตุ 4 ประการที่ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้ คือ



           1. ร่างกายผู้ป่วยสร้างแอนติบอดี้ต่อโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับสารอะซิติลโคลีน โดยมักพบว่า ในตัวผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จะมีโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนน้อยกว่าคนปกติถึงหนึ่งในสาม เพราะร่างกายสร้างแอนติบอดี้มากำจัดโปรตีนชนิดนี้ไปเกือบหมด



           2. สารอะซิติลโคลีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถทำงานได้ แม้ร่างกายจะหลั่งสารนี้ออกมาอย่างปกติ เนื่องจากโปรตีนตัวรับถูกทำลายโดยแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้น 



           3. กรรมพันธุ์ พบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส บางรายมีญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ส่วนใหญ่จะพบว่า โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มักเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็ตาม



           4. ความผิดปกติของต่อมไธมัส ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้เช่นกัน โดยพบว่า เกิดจากเนื้องอกถึงร้อยละ 10 และเกิดจากต่อมไธมัสโตผิดปกติมากถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดี้ต่อโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนในปริมาณ สูง จึงส่งผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อตามมา ดังนั้น จึงมักพบผู้ป่วยที่อายุระหว่าง 30-60 ปี ราวร้อยละ 20 มีอาการเนื้องอกที่ต่อมไธมัสด้วย



การวินิจฉัย โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส



          แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติอย่างละเอียด และตรวจร่างกายระบบต่าง ๆ รวมทั้งระบบประสาท และทดสอบด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าเป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือไม่



          การรักษา โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส



          มักพบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มีอาการร่วมกับโรคลูปัส (โรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง โดยในสมัยก่อนผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก แต่เมื่อค้นพบยารักษาโรคได้ จึงทำให้อัตราการตายของผู้ป่วยโรคนี้ลดลง 



โดยโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วย



           การให้ยาต้านฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ทำให้สารอะซิติลโคลีนไม่ถูกทำลาย และการที่มีสารนี้อยู่นานขึ้น ก็สามารถจับกับตัวรับได้มากขึ้น ช่วยให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น



           การให้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ ช่วยให้อาการดีขึ้นหรืออาการหายขาดได้มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด



           การให้ยากดภูมิคุ้มกัน



           การให้ยาอิมมูโนโกลบูลินชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด



           การผ่าตัดต่อมไธมัส



           การเปลี่ยนถ่ายพลาสมา 



           การรักษาทางกายภาพบำบัดในการป้องกันปัญหาข้อติดและช่วยฝึกการหายใจ



          โดยสรุปแล้ว โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส เป็นโรคที่เกิดการความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเราคงไม่สามารถป้องกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากใครเป็นโรคนี้แล้ว ก็สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าได้รับคำแนะนำ และการรักษาจากแพทย์อย่างถูกวิธี



          โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง



           รู้จักโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มัยแอสทีเนีย กราวิส หรือโรคเอ็มจี ที่สาวโอ๋ป่วยกันไปแล้ว ทีนี้ เราลองมารู้จัก โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส ที่ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินกันบ้างว่าคือโรคอะไร



          สำหรับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส นั้น คำว่า เอแอลเอส ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ไม่จัดว่าเป็นโรคของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง จึงทำให้กล้ามเนื้อตามแขนและขาอ่อนแรงลง กลืนลำบาก พูดไม่ชัด โดยเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในไขสันหลังและสมอง เมื่อเซลล์เสื่อม มันจะค่อย ๆ ตายไปในที่สุด 



          ในทางการแพทย์อาจเรียกชื่อโรคนี้อีกชื่อว่า "โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (motor neuron disease; MND) หรือ โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม" ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาจะรู้จักกันดีในชื่อว่า "Lou Gehrig's Disease" (ลู-เก-ริก) ซึ่งตั้งชื่อโรคตามชื่อนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้ในปี ค.ศ. 1930 



         ใครคือกลุ่มเสี่ยงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส



          จากสถิติผู้ป่วยโรคนี้ทั่วโลก พบว่า มีผู้ป่วยโรคนี้ไม่มากนัก โดยในประชากร 100,000 คน จะพบคนป่วยโรคนี้เพียง 4-6 คนเท่านั้น ขณะที่ในประชากร 100,000 คน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยรายใหม่ เพียง 1.5-2.5 คนต่อปีเท่านั้น โดยพบในผู้ที่มีอายุมากมากกว่าในคนอายุน้อย เพราะอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคนี้อยู่ระหว่าง 60-65 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 1.5 เท่า



          อย่างไรก็ตาม จากประวัติผู้ป่วยโรคเอแอลเอส ร้อยละ 90 ยังไม่พบข้อมูลที่แน่ชัดโรคนี้เกี่ยวข้องกับทางพันธุกรรม แต่ที่ผ่านมา มักพบนักกีฬาที่ต้องมีการปะทะป่วยเป็นโรคนี้กันมาก เช่น นักเบสบอล นักฟุตบอล แม้กระทั่งนักมวย อย่าง "พเยาว์ พูลธรัตน์" วีรบุรุษผู้คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเป็นคนแรกให้กับประเทศไทย ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคนี้



          สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส



          แม้วิทยาการสมัยใหม่จะก้าวหน้าไปมาก แต่จนถึงปัจจุบัน ทางการแพทย์ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่แน่ชัด แม้ที่ผ่านมาจะพบนักกีฬาเป็นโรคนี้หลายคน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่า นักกีฬามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าอาชีพอื่น ๆ 



          อย่างไรก็ตาม จากสมมติฐานเชื่อว่า มีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสขึ้น เช่น การมีปัจจัยบางอย่างทางพันธุกรรม ที่ทำให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งมีโอกาสเสื่อมได้ง่ายกว่าบุคคลอื่น รวมทั้งปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง สารโลหะหนัก รังสี หรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิดมาช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งเกิดการทำงานผิดปกติ 



          นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องอายุ เพราะอายุที่มากขึ้นจะทำให้ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ซึ่งเป็นตัวที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์เกิดความผิดปกติขึ้น จึงทำให้เซลล์ในร่างกายมีการเสื่อมสลายลงไปตามกาลเวลาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงสมมติฐานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด 



          ทั้งนี้ ปัจจุบันเชื่อกันว่า สาเหตุของโรคนี้อาจเกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันต่อตนเองผิดปกติ (Autoimmune attack) หรือเกิดจากกลไกอนุมูลอิสระ (Free radicals) ทำลายเซลล์ประสาทของตนเอง ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า การเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทในสมองและไขสันหลังเกิดจากสารสื่อนำกระแสประสาท (neurotransmitter) ที่เรียกว่ากลูตาเมต (glutamate) กระตุ้นให้เกิดการทำลายเซลล์



          โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง


          อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส



          จากชื่อโรคก็พอจะทราบอยู่แล้วว่า ผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยจะเริ่มอ่อนแรงตามมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน เช่น เดินแล้วล้มบ่อย สะดุดบ่อย ยกแขนไม่ขึ้น กำมือถือของไม่ได้ หยิบจับของเล็ก ๆ ได้ลำบาก ลุกนั่งลำบาก ใส่รองเท้าแตะแล้วหลุดง่าย จากนั้นอาการจะเริ่มหนักขึ้นจนลามไปทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้อลีบ หรือกล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย หากเป็นนานเข้าจะมีอาการกลืนอาหารลำบาก สำลักง่าย พูดไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นลีบ แขนขาลีบ แต่จะไม่มีอาการชา ยังสามารถกลอกตาไปมาได้ กลั้นปัสสาวะ-อุจจาระได้ตามปกติ และมีสติสัมปชัญญะดี



          อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง และปล่อยอาการต่าง ๆ ไว้นาน เพราะคิดว่าเป็นโรคอื่น กว่าจะมาพบแพทย์ก็มีอาการหนักแล้ว เช่น กระบังลมอ่อนแรง จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เพราะมีอาการเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเวลานอนราบหรือมีอาการต้องตื่นกลางดึก เพราะมีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก สุดท้ายจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย และไม่สามารถกลืนอาหารและน้ำได้ด้วย ต้องให้อาหารทางสายยางผ่านจมูกหรือทางหน้าท้อง และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ



          สุดท้ายแล้ว หากอาการหนักมาก ๆ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด เพราะระบบหายใจล้มเหลว และเกิดการติดเชื้อในปอด เพราะสำลักน้ำและอาหาร ระยะเวลาโดยเฉลี่ย ตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงเสียชีวิต อาจกินเวลาตั้งแต่ 2 ปี ถึง 4 ปี อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคสั้นหรือยาวกว่านี้ได้ โดยผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเสียชีวิตเร็ว ได้แก่ ผู้ป่วยเพศหญิง ผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคเมื่ออายุมากแล้ว หรือมีอาการกลืนลำบาก สำลักง่าย และพูดไม่ชัดเป็นอาการนำ



          การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส



          เนื่องจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจเป็นอาการของโรคอื่น ๆ ได้ ดังนั้น แพทย์ที่วินิจฉัยต้องเป็นแพทย์อายุรกรรม สาขาประสาทวิทยา ที่มีประสบการณ์พอสมควรจึงจะแยกโรคนี้ออกได้ โดยการซักประวัติเกี่ยวกับอาการป่วยอย่างละเอียด ตรวจร่างกายของผู้ป่วย เพื่อหาลักษณะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ฝ่อลีบ และเต้นพลิ้ว ซึ่งถือเป็นอาการจำเพาะของโรคนี้ นอกจากนี้ แพทย์จะต้องสืบค้นทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมด้วย เพื่อแยกโรคให้แน่ชัด โดยตรวจกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ (Electromyography : EMG) การถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กของสมองและไขสันหลัง (Magnetic resonance imaging : MRI of brain and spinal cord) เป็นต้น



          โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง


          การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส


          ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอแอลเอสให้หายขาด โดยร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเอแอลเอส โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ 2 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมียาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับโดยองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ไรลูโซล (Riluzole) ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ได้ เพราะยาจะไปออกฤทธิ์ต่อต้านสารกลูตาเมต ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เกิดการตายของเซลล์ ยาตัวนี้จึงจะไปช่วยลดการทำลายเซลล์ประสาทในไขสันหลัง และสมองได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถช่วยทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น ทำได้เพียงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปได้อีกราว ๆ 3-6 เดือน



          เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แพทย์จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดน้ำลาย ยาแก้อาการท้องผูก ทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การฝึกพูด ฝึกกลืน หากผู้ป่วยกลืนอาหารไม่ได้ก็ต้องใส่สายยางให้อาหาร และถ้าเหนื่อยหอบ หายใจเองไม่ได้ แพทย์ก็จะใช้เครื่องช่วยหายใจอีกทาง...

ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

วิธีลดความเครียด


วิธีลดความเครียดในการทำงาน



    1 คงต้องออกกำลังกายเพื่อระบายฮอร์โมนแห่งความเครียดออกไปให้หมด จะ เป็นการออกกำลังกายระหว่างการทำงาน เช่น การเดินขึ้นลงบันได หรือจะเป็นการเล่นกีฬา หรือทำงาน บ้านในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือในวันหยุดก็ได้ การออกกำลังกายจนได้เหงื่อจะกระตุ้นให้ ร่างกายหลั่ง ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

    2 คือต้องพักผ่อนให้พอ ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน ต้องรู้จัก บริหารเวลา เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัวและมีเวลาให้ครอบครัวด้วย อย่าลืมว่าเครื่องจักรยังต้องมีเวลา หยุดพัก และซ่อมบำรุง คุณเองก็เช่นกันต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างเพื่อจะได้มีพลังสำหรับการทำงานในวันต่อไป


    3 คือการพูดคุยปรึกษาปัญหาที่คุณหนักใจกับคนใกล้ชิด แม้บางครั้งเขาอาจ ช่วยคุณแก้ปัญหาไม่ได้ แต่การได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป และได้คำปลอบประโลมกลับมา คุณจะรู้สึก ดีขึ้น สบายใจขึ้น และเมื่อใจสบาย สมองปลอดโปร่ง ก็อาจคิดแก้ปัญหาได้ในเวลาต่อมา


    4 คือการรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด อย่าเอาแต่วิตกกังวลให้มากเกินไป ลองคิดใน หลายๆ แง่มุม คิดในสิ่งดีๆ คิดอย่างมีความหวังบ้าง และอย่าคิดหมกมุ่น แต่ปัญหาของตัวเอง คิดถึงคนอื่น บ้าง ยังมีคนลำบากกว่าคุณอีกมาก จะได้มีกำลังใจต่อสู้ปัญหาต่อไป


    5 คือการฝึกเทคนิคคลายเครียด เช่น การหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องพองออก และ หายใจออกช้าๆ ให้ท้องแฟบลง จะช่วยชะลอความโกรธ คลายความกังวล ลดความกลัว และความตื่น เต้นลงได้ นอกจากนี้ควรฝึกสมาธิเพื่อสงบจิตใจ โดยมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก จะช่วยคลายเครียดได้เป็น อย่างดี



ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

10ลักษณะนิสัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ

เรามักจะมองดูผู้ที่อยู่เหนือกว่าเรา หรือผู้ที่ประสบความสำเร็จ แล้วสงสัยไหมว่าเขาทำอะไรกันถึงได้ดิบได้ดี ประสบความสำเร็จอะไรกันขนาดนั้น ที่จริงแล้วก็คือพวกเขารู้จุดแข็งที่ตัวเองมีและใช้ให้เป็นประโยชน์นั่นเอง

ซึ่งที่จริงแล้วเราก็มีนิสัยและบุคลิกแบบนั้นเหมือนกันแหละ วันนี้เราเลยขอนำเสนอ 10 นิสัยดีๆ ที่จะพาคุณประสบความสำเร็จ และแน่นอนคุณอาจไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนเลยล่ะ ลองมาดูกันเลยนะคะ


1. มีความตรงต่อเวลาและพึ่งพาตนเองได้

เป็นคนที่ตรงต่อเวลา ตรงต่อคำพูด มาประชุมก็ไม่เคยมาสาย แถมยังสามารถปรับตารางต่างๆ ของคุณให้คุณสามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่ทำให้คุณสายในงานต่างๆ แน่นอนล่ะใครจะอยากทำงานต่างๆ กับคนที่ไม่ตรงเวลาหรือพึ่งพาตนเองไม่ได้ล่ะ??

2. ไม่กลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองออกมา

บางคนไม่กล้าจะแสดงความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนเองคิด แต่แน่นอนคุณสมบัตินี้จะช่วยส่งเสริมความเป็นผู้นำอย่างมาก ถ้าผู้นำไม่กล้าแสดง ไม่กล้าคิด ก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอก

3. คุณไม่ได้คาดหวังให้ใครทำอะไรให้คุณ

บางคนทำอะไรไม่ได้เลย และปล่อยให้โลกหมุนไปอย่างนั้น แก้ปัญหาหรือล่มจมตามแบบของมันเอง บางครั้งก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ อยู่เสมอๆ งานอะไรที่ต้องการให้ประสบความสำเร็จ ก็ต้องทำด้วยตัวเองสิเออ

4. คุณเก็บของของคุณไว้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน หรือห้อง ไม่เกี่ยวกับความสะอาด แต่เป็นการใช้งานและความสะดวกมากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับซกมก แน่นอนอยู่ที่สไตล์ของแต่ละคนเขาล่ะจ้า


5. คุณมีแรงปรารถนาที่จะพัฒนา

แน่นอนล่ะ ถ้าไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองก็คงไม่ประสบความสำเร็จหรอกเนาะ

6. คุณไม่รู้สึกแย่ที่ต้องขอคำแนะนำ

ไม่แน่บางคนอาจจะมีคำแนะนำดีๆ ก็ได้ ดีกว่าปล่อยให้ปัญหารุมเร้า แต่อย่าลืมว่าคำแนะนำก็คือคำแนะนำ พยายามทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองนะจ๊ะ

7. คุณมีความมั่นใจในตนเอง

ความมั่นใจนี่แหละ อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้เลยล่ะ อันดับแรกถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วใครจะมามั่นใจในตัวคุณ ถ้าเป็นผู้นำล่ะก็ ยิ่งขาดไม่ได้เลยล่ะ แต่ก็อย่ามั่นใจจนเกินไปจนไม่ฟังคำแนะนำดีๆ นะจ๊ะ

8. เห็นความล้มเหลวเป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การจดจำ และสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้

แน่นอนทุกๆ คนเคยล้มเหลว แต่บางทีเราก็ได้อะไรจากความล้มเหลวมากกว่าที่เราคิด แถมถ้ายังสามารถสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาจากจุดนั้นได้อีกละก็ หยุดไม่อยู่ล่ะทีนี้

9. คุณสามารถควบคุมสติอารมณ์ได้ดี

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทุกคนตึงเครียด และเกิดความโกลาหล แน่นอนล่ะว่าต้องมีพระผู้ไถ่เข้ามาจัดการกับสถานการณ์ ไม่งั้นก็คงไม่คลี่คลายได้ดีๆ หรอกเนาะ

10. เอาใจใส่ผู้อื่นด้วย

ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าคุณไม่เห็นอกเห็นใจใคร ก็จะไม่มีใครเห็นใจคุณเช่นกัน และในโลกนี้ไม่มีคนที่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ อย่าลืมนะจ๊ะ ทุกๆ คนพึ่งพาอาศัยกันเสมอ ไม่ว่าจะในด้านใดด้านหนึ่ง...

และนี่ก็คือเหล่านิสัยแห่งผู้ที่ประสบความสำเร็จ มาดูกันซิว่าเรามีลักษณะนิสัยแบบนี้กันหรือเปล่า...


ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

5เทคนิคการจำของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความฉลาด Imagination is more important than intelligence 

หลักการนี้ได้ผ่านบทพิสูจน์มานับครั้ง ไม่ถ้วน "รอน ไวท์"เป็นผู้หนึ่งที่ท้าพิสูจน์เรื่องนี้ผ่านชีวิตจริง 

17 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ "รอน ไวท์" เป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา เขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีความฝันว่า วันหนึ่งจะมีความจำเป็นเลิศแบบไอน์สไตน์ ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีการเปิดอบรมเรื่องความจำแบบ "ไอน์สไตน์" เขาจึงไม่ยอมละทิ้งโอกาสดีๆ รีบสมัครเข้าร่วมโครงการ 

และวันนี้ "รอน ไวท์" กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะผู้ที่มีความจำยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง ของโลก เป็นวิทยากรชื่อดังด้านการฝึกฝนความจำโดยวิธีพัฒนาความคิดแบบไอน์สไตน์ที่ ใครๆ ก็อยากฝากตัวเป็นศิษย์ 

"รอน" บอกกับทุกคนว่า ทุกคนสามารถทำได้ สามารถจำหลายสิ่งหลายอย่างได้ เพียงแต่รู้จักพัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบ มีระเบียบในการจำ 

แบบทดสอบแรกที่ "รอน" ใช้สอน ผู้กระหายอยากมีความจำเป็นเลิศคือ คำง่ายๆ 20 คำ นั่นคือ ฟูจิ น้ำแข็ง ต้นไม้ จักรยาน สุนัข น้ำ 1 แก้ว รองเท้า ทีวี หมอน สปริง เครื่องบิน โตเกียว แมว หมวกสีดำ แว่นตา เสื้อสีน้ำตาล เช็คมูลค่า 100,000 บาท รถคันใหม่ สุนัข และฟูจิ 

หลายคนฟังแล้วอาจจะรู้สึกหงุดหงิด คำตั้งเยอะจะจำอย่างไรได้ เทคนิคง่ายๆ ที่ "รอน" บอกว่าเป็นพื้นฐานของการจำ นั่นคือการผูกคำเหล่านี้เป็นห่วงโซ่ให้กลายเป็นเรื่องราว 

กรณีนี้ "รอน" ให้ทุกคนลองจินตนาการว่าเราไปที่ภูเขาฟูจิ ที่นั่นมีน้ำแข็ง ต้นไม้ จักรยานจอดอยู่ เจอสุนัขใส่รองเท้าคู่หนึ่ง กำลังถือน้ำอยู่ในมือ 1 แก้ว นอนดูทีวีอยู่บนหมอนและที่นอนสปริง จากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินไปโตเกียว เจอแมวใส่หมวกสีดำ ใส่แว่นตา ใส่เสื้อสีน้ำตาล ในมือมีเช็คมูลค่า 100,000 บาท เตรียมไว้สำหรับซื้อรถคันใหม่ แล้วเจอสุนัขอีกตัวก่อนบินกลับภูเขาฟูจิ 


เท่านี้ทุกคนก็สามารถที่จะจำคำต่างๆ ที่บอกไปได้ทั้งหมด "รอน" บอกถึงเคล็ดลับในการจำ มีอยู่ 5 ขั้นตอน คือ 

1. ชัดเจน (focus) โฟกัสสิ่งที่ต้องการจดจำให้ชัดเจนว่าคืออะไร มีความโดดเด่นตรงไหน ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พลังของการจดจำมีประสิทธิภาพ 

2. บันทึก (files) เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ละเลยไม่ได้ หากคุณต้องการเรียกคืนเอกสารจากคอมพิวเตอร์กลับมาใช้อีก คุณจะต้องบันทึกโฟลเดอร์หรือไฟล์งานนั้นไว้เพื่อเรียกใช้ในภายหลัง ความทรงจำของคุณเช่นกันที่มีกลไกการทำงานแบบเดียวกัน 

ดังนั้นเพื่อให้สามารถเรียกข้อมูลกลับมาใช้ได้ในระยะเวลาต่อมา ทุกคนจำเป็นต้องบริหารจัดการความทรงจำ และจัดเก็บข้อมูลไว้ในตู้เก็บไฟล์แห่งความทรงจำอย่างมีระบบและมีระเบียบ เพื่อเวลาเรียกใช้จะได้ง่ายขึ้น 

3. ภาษาภาพ (pictures) เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ทุกคนจำเป็นต้องจินตนาการสิ่งที่ต้องการจำให้เป็นภาพที่คุ้นเคย หรือภาพที่สะดุดตา พูดง่ายๆ อะไรก็ตามที่ต้องการจดจำจะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของภาษาภาพเสมอ และนี่คือเหตุผลที่อธิบายถึงการจดจำหน้าตาของผู้คน แต่ไม่สามารถจำชื่อได้เนื่องจากทุกคนมองเห็นรูปหน้าคน 

แต่มองไม่เห็นชื่อของคนคนนั้น เวลาเจอหน้ากันอีกครั้งจึงรู้สึกคุ้นตาแต่จำชื่อไม่ได้ การจำเป็นภาพก็ใช้หลักการเดียวกัน ดังนั้นหากคุณต้องการจดจำบทกวี ตัวเลข ที่อยู่ ข้อมูลจากชั้นเรียน ข้อความในหนังสือ หรืออะไรก็ตาม จะต้องแปลงสิ่งเหล่านั้นให้เป็นภาพเสียก่อน เพื่อให้มองเห็นและจดจำมันได้ 

4. ติดตรึง (glue) การจะจดจำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นต้องมีความโดดเด่นเพียงพอที่จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กระทบกับความรู้สึกของตัวเองอย่างแรง หากสังเกตช่วงชีวิตที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าความจำจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้ก็ต่อเมื่อภาพนั้นมีความ เคลื่อนไหว มีความรู้สึก หรือมีสิ่งพิเศษบางอย่างมาเชื่อมโยงกับตัวเรา 

และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมคุณจึงสามารถนึกถึงรายละเอียดของอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อ 20 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำ หรือนึกย้อนถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อนได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่คุณสามารถนึกถึงเหตุการณ์ดีๆ อย่างเช่นตอนที่คุณให้กำเนิดลูก หรือวันแต่งงาน 

ดังนั้น ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อจำ จะต้องเป็นภาพที่ติดตรึงในความทรงจำได้ดี มีความเคลื่อนไหว หรือความรู้สึกร่วมด้วย และหากเป็นภาพที่มีความพิเศษมากก็จะยิ่งช่วยให้จำได้ดีขึ้น 

5. ทบทวน (review) การทบทวนสิ่งที่บันทึกไว้ในความทรงจำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่จะทำให้สามารถจำ สิ่งต่างๆ ได้ในระยะยาว 

วิธีการง่ายๆ ตื่นเช้าขึ้นมาให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานนี้เราได้พบใครบ้าง เพื่อจะทบทวนรายชื่อของคนที่เราได้พบ แล้วดูว่ามีกี่คนที่คุณสามารถจำได้ ตรงนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดที่ดี แถมยังช่วยเพิ่มเติมข้อมูลไปในเมโมรี่ส่วนตัวไปพร้อมๆ กันด้วย 

ถ้าทุกคนสามารถทำได้ตามขั้นตอนนี้ ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการพูดหน้าห้อง หรือพรีเซนต์งานต่างๆ ก็ทำได้อย่างน่าทึ่ง 

ก่อนเข้าสู่กระบวนการจำ 5 ขั้นตอน ทุกคนจะต้องแบ่งพื้นที่ในสมองออกเป็นห้องๆ แล้วสร้างแฟ้มข้อมูล นำประเด็นต่างๆ มาแปลงให้เป็นรูปภาพที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น สิ่งต่างๆ ภายในบ้าน สถานที่ทำงาน เมืองสำคัญๆ หรือรายละเอียดของร่างกาย แล้วให้หมายเลขสิ่งของเหล่านั้นเพื่อช่วยในการจำให้ง่ายขึ้น 

ทักษะเหล่านี้เป็นเรื่องที่พัฒนาได้ เพียงแต่ทุกคนต้องมีจินตนาการ 

"ถ้าอยากจำอะไร ก็สร้างภาพแล้วใส่ทุกอย่างในแฟ้ม ไม่ว่าจะจำ 100 สิ่ง 1,000 อย่าง ไม่ว่าสิ่งที่อยากจำจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ก็ใช้หลักการพื้นฐาน 5 ขั้นตอนเหมือนกัน แทนสิ่งที่ต้องการจำด้วยรูปภาพหรือหมายเลข และหากต้องการจำได้ในระยะยาวจะต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ผ่านไป 1 สัปดาห์กลับมาทบทวนครั้งหนึ่ง ผ่านไป 1 เดือนกลับมาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ความจำก็จะคงอยู่กับเราตลอดไป"

และนี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ การเพิ่มศักยภาพในการจำให้กับสมองของทุกคนนั่นเอง


ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

นครปฐม




                                    ประวัติความเป็นมา





          “นครปฐม” เป็นอู่อารยธรรมสำคัญที่มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เมืองนครปฐมแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ริมทะเล เป็นเมืองเก่าแก่ มีความเจริญรุ่งเรืองมานับตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ และเป็นราชธานีสำคัญในสมัยทวารวดี ในยุคนั้นนครปฐมเป็นแหล่งเผยแพร่อารยธรรมจากประเทศอินเดีย ซึ่งรวมทั้งพุทธศาสนา นครปฐมจึงเป็นศูนย์กลางของความเจริญ มีชนชาติต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาได้เกิดความแห้งแล้งขึ้นในเมืองนครปฐม เพราะกระแสน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองเปลี่ยนเส้นทาง ประชาชนจึงอพยพไปตั้งหลักแหล่งอยู่ริมน้ำ และสร้างเมืองใหม่ขึ้นชื่อ “เมืองนครไชยศรี” หรือ “ศรีวิชัย” นครปฐมจึงกลายเป็นเมืองร้างมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงยังผนวชได้ธุดงค์ไปพบพระปฐมเจดีย์ และทรงเห็นว่าเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ไม่มีที่ใดเทียบเท่า ครั้นเมื่อได้ครองราชย์ จึงโปรดฯ ให้ก่อเจดีย์แบบลังกาครอบองค์เดิมไว้ โดยให้ชื่อว่า “พระปฐมเจดีย์” ทรงปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ให้มีสภาพดี และโปรดฯ ให้ขุดคลองเจดีย์บูชาเพื่อให้การเสด็จมานมัสการสะดวกขึ้น         ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านเมืองนครปฐม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่ารก พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายเมืองจากตำบลท่านา อำเภอนครชัยศรี มาตั้งที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์เหมือนเช่นครั้งสมัยโบราณ         ครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สร้างพระราชวังสนามจันทร์เป็นที่เสด็จแปรพระราชฐานและฝึกซ้อมรบแบบเสือป่า โดยโปรดฯ ให้ตัดถนนเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย รวมทั้งสร้างสะพานเจริญศรัทธาข้ามคลองเจดีย์บูชาเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟกับองค์พระปฐมเจดีย์ ตลอดจนสร้างพระร่วงโรจนฤทธิ์ทางด้านทิศเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์และบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ให้สมบูรณ์สวยงามดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และได้โปรดให้เปลี่ยนชื่อจากเมือง “นครไชยศรี” เป็น “นครปฐม”


ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

10อันดีบมหาลัยน่าเรียน

"10 อันดับ มหาวิทยาลัยรัฐบาลน่าเรียนที่สุดในประเทศไทย " 
โดย:ไทยรัฐออนไลน์    ทั้ง 10 อันดับไม่มีการเรียงอันดับ

1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เดิมคือ โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ตราพระเกี้ยว เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย  4 คณะแรกคือ คณะรัฐประศาสนศาสตร์(โรงเรียนข้าราชการพลเรือนเดิม ปัจจุบันเปิดใหม่คือ คณะรัฐศาสตร์ ) คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รวมโรงเรียนราชแพทยลัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และ คณะวิศวกรรมศาสตร์

2.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ถูกโอนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นเวลา 8 เดือน ทำให้กลุ่มนักเรียนไม่พอใจไปปรึกษากับอาจารย์ปรีดี และในที่สุด ก็มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ของไทยขึ้น ในชื่อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมโอนทรัพย์สินทั้งหมดของโรงเรียนกฎหมาย และ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มาขึ้นต่อมหาวิทยาลัยแห่งใหม่  4 คณะแรกคือ คณะรัฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เมื่อถึงสมัยรัฐบาลหนึ่งได้ถูกตัดคำว่าการเมืองออก และ ได้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาจนถึงปัจจุบัน

3.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
แรกเริ่มคือโรงเรียนช่างไหม และชื่ออื่นๆ รัฐบาลได้รวมโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการและโรงเรียนวนศาสตร์(โรงเรียนป่าไม้เดิม จังหวัดแพร่) ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  4 คณะแรกคือ คณะเกษตร คณะวนศาสตร์ คณะประมง คณะสหกรณ์ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 3 ของไทย

4.มหาวิทยาลัยมหิดล
เดิมชื่อโรงแพทยากรและโรงเรียนราชแพทยาลัยตามลำดับ เมื่อครั้งสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รัฐกาลที่ 6 ได้ทรงรวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ 4 คณะแรก คือ คณะแพทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์ ในพระราชบัญญัติแห่ง จุฬาฯ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 8 ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ขึ้น โดยแยกคณะทางสายวิทยาศาสตร์สุขภาพมาขึ้นกับมหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ และโอนกลับคืนแก่จุฬาฯ และโอนให้คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ในรัชกาลปัจจุบันทรงเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยมหิดล

5.มหาวิทยาลัยศิลปากร
ชื่อเดิมโรงเรียนปราณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร มีชื่อเสียงด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม

6.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ชื่อเดิมโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง และ วิทยาลัยวิชาการศึกษา ในอดีตเป็นมหาวิทยาลัยที่มีวิทยาเขตมากที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันแต่ละวิทยาเขตแยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ม.บูรพา ม.ทักษิณ ม.มหาสารคาม ม.นเรศวร

7.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย  คณะแรกตั้งคือ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์

8.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงราย โดยการเรียกร้องของชาวบ้านเพื่อสมเด็จย่า ในปี พ.ศ.2548 เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในประเทศไทย และ สวยที่สุดแห่งเอเชีย

9.มหาวิทยาลัยบูรพา
เดิมชื่อ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน จ.ชลบุรี

10.มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแรกตั้งคือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์



มหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยราชภัฎจัดอันดับโดยwebometrics สถาบันจัดอันดับประเทศสเปน

" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ

1.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
2.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
3.มหาวิทยาลัยรังสิต
4.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
5.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
6.มหาวิทยาลัยสยาม
7.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
8.มหาวิทยาลัยศรีปทุม
9.มหาวิทยาลัยหัวเฉลียวเฉลิมพระเกียรติ
10.วิทยาลัยเซนต์หลุยส์


" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยราชภัฏที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ

1.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2.มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
4.มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
5.มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
6.มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
7.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
8.มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณณี
9.มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
10.มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สงขลา2

ประวัติความเป็นมา

จังหวัดสงขลาตราประจำจังหวัดนกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานติณฯ ถิ่นธุรกิจแดนใต้[1]ข้อมูลทั่วไปชื่ออักษรไทยสงขลาชื่ออักษรโรมันSongkhlaผู้ว่าราชการนายธำรงค์ เจริญกุล
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2557ISO 3166-2TH-90ต้นไม้ประจำจังหวัดสะเดาเทียมดอกไม้ประจำจังหวัดเฟื่องฟ้าข้อมูลสถิติพื้นที่7,393.889 ตร.กม.[2]
(อันดับที่ 26)ประชากร1,401,303 คน[3] (พ.ศ. 2557)
(อันดับที่ 11)ความหนาแน่น189.52 คน/ตร.กม.
(อันดับที่ 15)ศูนย์ราชการที่ตั้งศาลากลางจังหวัดสงขลา ถนนราชดำเนิน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา 90000โทรศัพท์(+66) 0 7431 2016, 0 7431 3206เว็บไซต์จังหวัดสงขลาแผนที่ 

 ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

จังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้

ที่มาของชื่อ "สงขลา"

ประวัติศาสตร์แก้ไข

ประวัติศาสตร์เมืองสงขลาได้เริ่มต้นอย่างแท้จริง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 22-24 โดยมีศูนย์กลางการปกครอง หรือ สถานที่ตั้งเมือง 3 แห่งโดยสามารถลำดับจากพัฒนาการ ได้แก่

เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง (ก่อนพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 23)เมืองสงขลาฝั่งแหลมสนเมืองสงขลาฝั่งบ่อยางสมัยเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงแก้ไข

เป็นยุคที่น่าจะมีมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 โดยพิจารณาจากเจดีย์บนยอดเขาน้อยที่กำหนดอายุได้ไม่น้อยกว่า พุทธศตวรรษที่ 17-18 โดยปรากฏชื่อในเอกสารต่าง ๆ ของพ่อค้าชาวตะวันตกว่า Singora บ้าง Singor บ้าง น่าจะมีชื่อเมือง สิงขร สิงคะ แปลว่าจอม ที่สูงสุดยอดเขา และภาษาไทยว่า "สิงขร" เป็นความหมายที่สอดคล้องกับที่ตั้งเมืองสงขลา โดยช่วงเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงนี้อยู่ภายใต้การปกครองของ เจ้าเมืองและ ปฐมพลเมืองชาวมุสลิม ซึ่งได้อพยพและนำพลพรรคชาวแขกชวา หนีภัยจากโจรสลัดที่คุกคามอย่างหนัก ในแถบหมู่เกาะชวาล่องเรือมาขึ้นฝั่งบริเวณฝั่งหัวเขาแดง โดยปรากฏในเอกสารชาวต่างชาติที่มาค้าขาย เป็นต้นว่าในสำเนาจดหมายของนายแมร์ เทนเฮาท์แมน จากอยุธยา มีไปจนถึงนายเฮนดริก แจนเซน นายพานิชย์คนที่ 1 ชาวดัตช์ ที่ปัตตานีในปี พ.ศ. 2156 ออกชื่อเจ้าเมืองสงขลาในขณะนั้นว่า "โมกุล" [11] แต่ในบันทึกบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้กล่าวถึงเมืองสงขลาในปี พ.ศ. 2165 เรียกชื่อเจ้าเมืองว่า "ดาโต๊ะโกมอลล์" [12] จึงพอสรุปได้ว่า ผู้สร้างเมืองฝั่งหัวเขาแดงประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 22 เป็นมุสลิมที่ชาวอังกฤษในสมัยอยุทธยาเรียกว่า "โมกุล" และ ชาว ดัตช์ เรียกว่า "โมกอล" โดย ดาโต๊ะโมกุล ได้ตั้งเมืองสงขลาบริเวณหัวเขาแดง เขาค่ายม่วงและ เขาน้อย ซึ่งน่าจะอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2153 - 2154 [13] ซึ่งตรงกับสมัยพระเอกาทศรถ สุภัทร สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ซึ่งเป็นเชื้อสายโดยตรงของสุรต่านสุไลมาน ได้เล่าว่า ประมาณ พ.ศ. 2145 ดาโต๊ะโมกอลซึ่งเคยปกครองเมืองสาเลย์ ที่เป็นเมืองลูก ของจาการ์ตา บนเกาะชวา (อินโดนีเซียในปัจจุบัน) ได้อพยพครอบครัว และบริวารหนีภัย การล่าเมืองขึ้น (ซึ่งใช้ปืนใหญ่จากเรือปืนยิงขึ้นฝั่งที่เรียกว่า Gunship policy) ลงเรือสำเภามาขึ้นฝั่งที่บริเวณบ้านหัวเขาแดง แขวงเมืองสงขลา เข้าใจว่าตระกูลนี้คงเคยเป็นตระกูลปกครองบ้านเมืองมาก่อน เมื่อเจอทำเลเหมาะสมหัวเขาแดง ท่านดะโต๊ะ โมกอล ก็ได้นำบริวารขึ้นบก แล้วช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมือง และ ดัดแปลงบริเวณปากทางเข้าทะเลสาบสงขลาให้เป็นท่าจอดเรือขนาดใหญ่ ที่สามารถรับเรือสำเภา หรือ เรือกำปั่นที่ประกอบธุรกิจการค้าทางทะเล แวะเข้าจอดเทียบท่าได้ จนเมืองหัวเขาแดงในสมัยนั้น กลายเป็นเมืองท่าเรือระหว่างประเทศไป กิติศัพย์นี้โด่งดังไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148 - 2153) จึงได้มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้งให้ดะโต๊ะ โมกอล เป็นข้าหลวงใหญ่ของพระเจ้ากรุงสยาม ประจำเมืองพัทลุงอยู่ที่หัวเขาแดง แขวงเมืองสงขลา [14]

สุรต่านผู้ครองเมืองสงขลาได้ปกครองเมืองแบบรัฐสุรต่าน ของราชวงศ์ ออโตมาน ซึ่งการปกครองแบบนี้แพร่หลายเข้ามายังเกาะสุมาตรา เกาะชวา และรัฐสุรต่านต่าง ๆ ทางปลายแหลมมาลายู โดยสุลต่านผู้ปกครองเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงได้นับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุนี่ จึงดำรงค์ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ส่วนบุตรชาย สามคนคือ มุสตาฟา ฮุสเซน และ ฮัสซัน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงทาง กองทัพเรือ ผู้บัญชาการป้อม และ ตำแหน่งการปกครองอื่น ๆ ในระบอบการปกครองแบบสุรต่าน [15]

ปฐมการค้า กับ ฮอลันดาแก้ไข

ในระยะแรกของการตั้งเมืองสงขลา เจ้าเมืองได้ยอมรับในการตกเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา โดยสุรต่านผู้ครองเมือง ได้จัดส่งเครื่องราชบรรณาการซึ่งประกอบด้วยดอกไม้เงิน และ ดอกไม้ทอง แก่กรุงศรีอยุธยา โดยเจ้าเมืองสงขลาได้กำหนดทิศทางของการพัฒนาเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงเป็นลักษณะเมืองท่า ทำกิจการในแลกเปลี่ยนสินค้าในระดับนานาชาติ โดยเมืองท่านี้ได้ทำการค้าขายกับ ฮอลันดา โปรตุเกตุ อังกฤษ จีน อินเดีย และ ฝรั่งเศส ซึ่งประเทศคู่ค้าประเทศแรก ๆ ที่สามารถมีสัมพันธภาพที่ดีต่อ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และสามารถขยายความสัมพันธ์ทางการค้า มายังสงขลาคือ ฮอลันดา โดยเฉพาะระหว่างปี พ.ศ. 2171 - 2201 เป็นสมัยที่ฮอลันดา มีความมั่งคั่งจาก การผูกขาดเครื่องเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยฮอลันดาสามารถกำจัดคู่แข่งทางการค้าอื่น ๆ เช่น โปรตุเกตุ อังกฤษ และ พ่อค้ามุสลิม ให้ห่างจากเส้นทางการค้า มีผลทำให้ให้ฮอลันดามีความมั่งคั่ง และ มีอำนาจขึ้นในยุโรป และ ตะวันออกไกล ครั้นถึงปี พ.ศ. 2584 ชาวดัตช์สามารถยึดเมืองมะละกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่สำคัญได้จากโปรตุเกส จึงใช้มะละกาเป็นศูนย์กลางการค้าขายกับจีน และญี่ปุ่นโดยตรง [16] โดยมีบันทึกหลาย ๆ ฉบับ ได้กล่าวถึงการค้าขายบริเวณเมืองท่าสงขลาฝั่งหัวเขาแดง ดังนี้

จดหมายของนายคอร์เนลิส ฟอน นิวรุท จากห้างดัตช์ ที่กรุงศรีอยุทธยา ไปถึงหอการค้าเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลันดา เมื่อ พ.ศ. 2160 กล่าวถึงเมืองสงขลาไว้ว่า "ขณะนี้พ่อค้าสำคัญ ๆ ได้สัญญาว่าจะแวะเมืองสิงขระ (สงขลาฝั่งหัวเขาแดง) "[17]จดหมายของ จูร์แคง ชาวอังกฤษได้รายงานไปที่ห้างอังกฤษ บนเกาะชวาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2164 ได้กล่าวถึงการค้าขายที่เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงไว้ว่า "พวกดัชใช้เรือขนาดเล็กที่เรียกว่า แวงเกอร์ โดยมีเรือขนาดเล็กนี้มีอยู่ประมาณ 4-5 ลำ ประจำที่สิงขระ เพื่อกว้านซื้อพริกไทยจากพ่อค้าชาวพื้นเมืองที่เข้ามาขายให้"[18]บันทึกของ โยเกสต์ สเกาเตน ผู้จัดการห้างฮอลันดา ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง หนังสือแต่งเมื่อ พ.ศ. 2179 ดังคำแปลในประชุมพงศาวดาร ภาค 76 กล่าวว่า "พวกเราชาวฮอลันดาได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสยามได้ 30 ปีแล้ว และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพระมหากัตริย์ตลอดมา การค้าขายของเราถึงจะไม่ได้รับกำไรมากมายจนเกินไป แต่กระนั้นพวกเรายังได้รับไมตรีจิต มิตรภาพจากพระมหากษัตริย์ มากกว่าชนชาติยุโรปอื่นได้รับ"[19]ซึ่งสอดคล้องกับการพบสุสานของชาวฮอลันดาอยู่ ณ บริเวณสุสานวิลันดา ในบริเวณพื้นที่เมืองเก่าสงขลาฝั่งหัวเขาแดง

เนื่องจากการที่เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงเป็นเมืองคู่ค้าที่สำคัญ กับฮอลันดา ทำให้เมืองสงขลาได้รับการคุ้มครอง และ การสนับสุนด้านต่าง ๆ จากฮอลันดาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งทำให้เมืองสงขลา โดย สุลต่านสุไลมาน ฉวยโอกาส แข็งเมืองในช่วงกบฏกรุงศรีอยุธยาใน รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งผลจากการแข็งเมืองนี้เองทำให้ สุลต่านสุไลมานประกาศตัวเป็น พระเจ้าสงขลาที่ 1 และ ดำเนินการค้าโดยตรงกับนานาประเทศโดยเฉพาะ ประเทศฮอลันดา ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า ฮอลันดาได้ทำการค้าเพื่อเอาใจ และสัมพันธ์ด้านประโยชน์ทางการค้า ทั้งกรุงศรีอยุธยาและสงขลา ไปในคราเดียวกัน ดั่งปรากฏหลักฐานว่า พระเจ้าปราสาททอง แห่งอยุธยาได้เคย ขอให้ฮอลันดาช่วยปราบกบฏเมืองสงขลา แต่ฮอลันดากลับไม่ได้ตั้งใจช่วยอย่างจริงจังตามที่ได้แสดงเจตนาไว้ ซ้ำยังให้ความช่วยเหลือเมืองสงขลาด้วยในคราเดียวกัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง กับฮอลันดา ยิ่งทวีความแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ โดยไม่มีบทบาทของกรุงศรีอยุธยามาแทรกแซง จนฮอลันดาสนใจจะเปิดสถานีการค้ากับเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง

ตามบันทึกของ ซามูเอล พอทท์ส ซึ่งไปสำรวจภาวะตลาดในเอเซียเมื่อปี พ.ศ. 2221 ได้บรรยายว่าเจ้าเมืองสงขลาต้อนรับเป็นอย่างดีที่วังของเมือง แสดงความเป็นกันเอง พร้อมทั้งตั้งข้อเสนอหลายอย่างที่เป็นการจูงใจให้เข้าไปค้าขาย เช่น จะไม่เก็บอากรบ้าน จะหาบ้านและที่อยู่ให้ [20]โดยปรากฏหลักฐานสนับสนุนเรื่องนี้จากจากแผนที่ซึ่งทำโดยชาวฝรั่งเศส ได้ระบุว่า มีหมู่บ้านของชาวฮอลันดาปรากฏอยู่ในแผนที่ นอกเหนือจากการปรากฏหลักฐานของสุสานชาวดัตช์ อยู่ใก้ลที่ฝังศพ สุลต่านสุไลมานซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง โดยมีหลุมศพเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ประมาณ 22 หลุม [21] ซึ่งชาวบ้านได้เรียกที่ฝังศพนี้ว่า "วิลันดา" ซึ่ง หนึ่งในยี่สิบสอง หลุมนี้อาจเป็นตัว ซามูเอล พอทท์ส หรือ พรรคพวกเองก็เป็นได้ [22]

ความสัมพันธ์ทางการค้ากับอังกฤษที่นำมาสู่เมืองแห่ง 20 ป้อมปืนแก้ไข

ความเป็นคู่แข่งทางการค้าระหว่างฮอลันดา กับ อังกฤษได้นำมาสู่การคานอำนาจของหัวเมืองต่าง ๆ ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา เช่น ขณะที่สงขลามีปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองที่ดีต่อ ฮอลันดา นั้นอังกฤษก็ได้เริ่มมุ่งความสนใจทางการค้ากับ เมืองปัตตานีที่เป็นเมืองท่าอยู่ทางตอนใต้ของสงขลา และ พยายามที่จะขยับขยายการค้ามาสู่ สงขลา ดังบันทึก ฉบับหนึ่งที่เขียนโดยพ่อค้าชาวอังกฤษ กล่าวถึงการค้าที่เมืองสิงขระว่า "จะไม่เป็นการผิดหวัง หากคิดจะสร้างคลังสินค้าขนาดใหญ่ขึ้นที่ สิงขระ (Singora) ข้าพเจ้าคิดว่าเราอาจจะใช้สิงขระ เป็นที่สำหรับตระเวณหาสินค้าจากบริเวณใกล้เคียง เพื่อจัดส่งให้แก่ห้างของเราที่กรุงสยาม โคชินไชน่า บอเนียว และญี่ปุ่นได้อย่างดี"[23] โดยจากการค้าขายกับต่างชาตินี่เองทำให้เมืองสิงขระที่นำโดย "ดาโต๊ะโมกอล" ได้พัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการค้าขายระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความปลอดภัย และรักษาเมืองจากการปล้นสะดมจากโจรสลัดซึ่งเกิดขึ้นอย่างมากในขณะนั้น การพัฒาเมืองจึงได้รวมไปถึงการสร้างป้อมปืนใหญ่บริเวณบนเขา และที่ราบในชัยภูมิต่าง ๆ ถึง 20 ป้อมปืน รวมไปถึงการสร้างประตูเมืองและคูดินรอบเมือง โดยได้รับการสนับสนุน เทคโนโลยีและอาวุธจากพ่อค้าชาวอังกฤษ แลกกับการที่อังกฤษมาตั้งห้างที่สงขลา ทั้งนี้ตรงกับหลักฐานตามที่นาย ลามาร์ ชาวฝรั่งเศส ได้บันทึกแผนผังเมืองไว้เมื่อ พ.ศ. 2230 ประกอบด้วยประตูเมืองและป้อมปืน 17 ป้อม [24]

จากการที่สงขลาแข็งเมือง ทำให้พ่อค้าชาวอังกฤษเห็นช่องทางในการลดค่าภาษีที่จะต้องส่งให้แก่กรุงศรีอยุธยา เพียงแต่ให้ของกำนัล แก่เจ้าเมือง สิงขระ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำการค้าขายในแถบนี้ได้แล้วดังบันทึกอันหนึ่ง ซึ่งเขียนโดยพ่อค้าชาวอังกฤษว่า "การตั้งคลังสินค้าขึ้นที่นี่ยังจะช่วยให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับห้างอีกด้วย เพราะที่นี่ไม่เก็บอากรขนอนเลย เพียงแต่เสียของกำนัลให้แก่ดาโต๊ะโมกอลล์ (เจ้าเมืองสงขลา) ก็อาจนำเงินสินค้าผ่านไปได้"[25] โดยผลจากการประกาศแข็งเมือง และ ตั้งตนเป็นพระเจ้าสงขลาที่ 1 ของสุลต่านสุไลมัน (บุตรของดาโต๊ะโมกอล) จึงเสมือนการเปิดโอกาสให้เมืองสงขลาในระยะนี้เจิญถึงจุดสูงสุด ถึงขั้นมีการผลิตเงินตราขึ้นใช้เอง โดยมี คำว่า สงขลา. เป็นภาษาไทยบนหรียญ ภาษายาวีสองคำ อ่านว่า นะครี-ซิงเกอร์ แปลว่านครสงขลา และมีภาษาจีนอีก ห้าคำ[26] เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานในช่วงเวลาการผลิตเหรียญแต่สันนิษฐานจากภาษา แขก ที่ปรากฏบนเหรียญ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่เจ้าเมืองแขกปกครองสงขลาอยู่เกือบ 40 ปี ทำให้เรา และ สามารถคาดการณ์ถึงสภาพเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของเมืองสงขลาในขณะนั้นได้

ดังนั้นหลังจากปี พ.ศ. 2185 สุลต่านสุไลมานก็ตั้งต้นเป็นเอกราช สถาปนาตนเองเป็นเจ้าเมืองเสงขลา ดำเนินการค้ากับ ฮอลันดา อังกฤษ และประเทศอื่น ๆ โดยตรงไม่ผ่านการส่งอากรสู่อยุธยาทำให้ พระเจ้าปราสาททอง กษัทติย์ ของอยุธยาในขณะนั้น ต้องส่งกองทหารมาปราบหลายครั้งตลอดรัชการของพระองค์ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากสงขลาแห่งนี้ ได้ตั้งเมืองอยู่ในชัยภูมิที่ดี และ มีการก่อสร้างกำแพงเมือง คันคู ตลอดจน ป้อมปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อป้องกันเมืองทั้งทางน้ำและทางบกมากกว่า ยี่สิบป้อม (บางเล่มก็ระบุว่า 17 ป้อมผู้เขียนอยู่ระหว่างค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม) ดังหลักฐานจากข้อเขียนของ วัน วลิต (Van Vliet) ผู้แทนบริษัท Dutch East India CO, Ltd. ประจำกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเคยเดินทางมาเยือนเมืองสุรต่านที่หัวเขาแดง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2185 ได้เขียนรายงานไว้ว่า พระเจ้าปราสาททอง ได้เคยส่งกองเรือจากกรุงศรีอยุธยามาร่วมกับกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช (ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสงขลา) ทำการโจมตีเมืองสงขลาถึงสองครั้งในช่วงเวลาเพียง สองปี แต่ต้องประสพความพ่ายแพ้ไปทั้งสองครั้ง [27]

ต่อมา เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงได้ถูกกองทัพ ทั้งทางบก และ ทางทะเล ตีแตกในปี พ.ศ. 2223 ถัดมาในรัชการ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในจดหมายเหตุของมองซิเออ เวเรต์ ชาวฝรั่งเศส ที่มาค้าขายในอยุธยา ใน พ.ศ. 2230 ว่า "พระเจ้ากรุงสยามได้ส่งกองทัพเรือซึ่งมีเรือรบมาเป็นอันมาก ให้มาตีเมืองสงขลาเป็นอย่างมาก และ ได้ใช้แผนล่อลวงผู้รักษาป้อมแห่งหนึ่งให้มีใจออกห่างจากนายตน จากนั้นทหารกรุงศรีอยุธยาจึงได้ลอบเข้าไปทางประตูดังกล่าวเปิดประตูให้ทหารเข้ามาทำลาย และ เผาเมือง โดยเพลิงได้ลุกลามจนไหม้ เมืองตลอดจนวังของเจ้าพระยาสงขลาหมดสิ้นอีกทั้ง ทหารกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพเข้าไปในเมืองทำลาย ป้อม ประตู หอรบ และบ้านเมืองจนเหลือแต่แผ่นดิน เพราะเกรงว่าจะมีคนคิดกบฏขึ้นมาอีก"[28]

ส่วนอีกบันทึกหนึ่งได้เล่าไว้ว่า กองเรือจากกรุงศรีอยุธยาได้ร่วมกับกองทัพจากนครศรีธรรมราช ได้ยกทัพเรือมาดอบล้อมเมืองสุรต่านที่หัวเขาแดง โดยมีพระยารามเดโช เป็นแม่ทัพใหญ่ ครั้นแล้วกองทัพทั้ง สอง ฝ่ายก็ได้เริ่มทำยุธนาการกันทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีลูกเรือชาวดัตช์ที่มารักษาการณ์ อยู่ที่สถานีการค้าของบริษัท Dutch East India Co.Ltd. ที่หัวเขาแดง เข้าช่วยฝ่ายสุลต่านเมืองเขาแดง เข้ารบกับกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ดังปรากฏที่ฝังศพของทหารอาสาชาวดัตช์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกุโบร์ที่ฝังศพของสุรต่านสุลัยมาน โดยในบันทึกได้บรยายรายละเอียดว่าในคืนวันหนึ่งขณะที่ปืนใหญ่จากเรือรบของนครศรีธรรมราช กำลังกระหน่ำยิงเมืองหัวเขาแดงทหารซึ่งอยู่ที่ป้อมเมืองสงขลาของสุรต่านมุสตาฟา (บุตร สุลต่านสุไลมาน) จำนวนสองคนได้ทำการทรยศจุดคบไฟโยนลงจากบนภูเขาใส่บ้านเรือนราษฎรที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ซึ่งส่วนมากจะมุงด้วยหลังคาใบจาก จึงได้เกิดไฟไหม้ขึ้น ทำให้เกิดโกลาหลอลม่านกันขึ้น จนกระทั่งกองทัพกรุงศรีอยุธยา และ เมืองนครศรีธรรมราชสามารถยกพลขึ้นบกได้หลายจุด เช้าวันรุ่งขึ้น มุสตาฟาและ ฮุสเซน และ ฮัสซัน น้องชาย เข้าพบและยอมจำนนแก่แม่ทัพใหญ่ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

ผลที่สุดจึงปรากฏว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระบรมราชโองการ ให้ยุบเลิกเมือง สุลต่าน ที่หัวเขาแดง ล้วกวาดต้อนกองกำลัง และ บริวารทั้งหมดออกจากพื้นที่ แล้วลงเรืออพยพแบ่งเป็นสองพวกคือ คนที่มีอยุหกสิบปีขึ้นไป ให้อพยพไปตั้งหลักแหล่งใหม่ที่หมู่บ้านสงขลา เมืองไชยา (ในพื้นที่ จ สุราษฎธานี ห่างจากสงขลา ห้าร้อยกิโลเมตรทางตอนเหนือ) ส่วนคนหนุ่มคนสาว รวมทั้งลูกเจ้าเมืองทั้ง สาม ของสุรต่านสุไลมาน ให้อพยพเข้าไปอยู่ในกรุงศรีอยุธยา[29] หลังจากเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดงถูกทำลายแล้วทางกรุงศรีอยุธยามีนโยบายจะยกเมืองสงขลาให้ฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ ดังหลักฐานจากหนังสือสัญญาที่ฟอนคอนทำไว้ที่เมืองลพบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228 ระบุไว้ว่า "สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามยกเมืองสงขลา และ เมืองขึ้นของสงขลา พระราชทานให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และ พระราชทานพระราชานุญาตให้พระจ้ากรุงฝรั่งเศสสร้างป้อม หรือจัดทำอะไรในเมืองสงขลาได้แล้วแต่พระทัย" [30] แต่ข้อนี้ทางฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิเศษข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากเมืองสงขลาในขณะนั้นอยู่ในสภาพเสียหายอย่างหนักเพราะถูกทำลายจนหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม เมืองสงขลาฝั่งหัวขาแดงก็ยังมีการสร้างกำแพงหรือขอบเขตของเมืองด้วยไม้ [31]แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก้ได้โยกย้ายไปตั้งบ้านเรือน อยู่ฝั่งแหลมสนซึ่งอยู่ทางฟากเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งชุมชนนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน [32])

สมัยเมืองสงขลาฝั่งแหลมสนแก้ไข

หนีความทุกข์ยากหลังสงครามเมือง : Singora สู่เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ภายหลัง เมื่อเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาทำลายจนหมดสิ้น เมื่อ พ.ศ. 2223 ประชาชนชาวสงขลาฝั่งหัวเขาแดงที่เหลืออยู่ ได้ย้ายชุมชนไปสร้างเมืองใหม่ ณ เมืองสงขลาแห่งที่สองนี้ ที่รู้จักกันในชื่อว่าเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน โดยเมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ได้รับการวางแผนในการสร้างเมืองตั้งแต่ต้น ประกอบกับเป็นเมืองที่ถูกสร้างเนื่องจากการย้ายเมืองภายหลังจากสงคราม ดังนั้นลักษณะของเมืองจึงเป็นเมืองที่ถูกสร้างกันอย่างง่าย ๆ บนพื้นที่เชิงเขาติดทะเล ถัดจากตำแหน่งเมืองสงขลาเดิมที่ถูกทำลายลงไปอีกด้านหนึ่งของฝากเขา เนื่องจากเป็นที่ตั้งเมืองที่อยู่บนเชิงเขา ทำให้เมืองสงลาแห่งที่สองนี้ในภายหลังประสบกับปัญหาการขาดแคนน้ำจืดอุปโภค และ ปัญหาการมีพื้นที่ในทางราบไม่เพียงพอกับการขยายและเติบโตของเมือง ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการย้ายเมืองในเวลาต่อมา ลักษณะการสร้างบ้านเรือนของสงขลาฝั่งแหลมสน ส่วนใหญ่บ้านเรือนจะทำด้วยวัสดุไม่ถาวร เช่น ไม้ และ ใบจาก ในลักาณะเรือนเครื่องสับ จึงทำให้หลงเหลือร่องรอย และ หลักฐานไม่มากนัก เนื่องจากประชากรในการสร้างเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญชน ประกอบกับขนาด และ อาณาเขต รวมไปถึง อำนาจการปกครองของเมืองสงขลาได้ลดฐานะเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ของเมืองบริวาร ของเมืองพัทลุง [33] ดังนั้นเจ้าเมืองสงขลาคนแรกจึงถูกแต่งตั้งโดยพระยาจักรี และ พระยาพิชัยราชา เป็นเพียงแค่การคัดเลือกชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ "โยม" มาดำรงตำแหน่งเป็นพระสงขลา เจ้าเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน และ ในคราวเดียวกันนั่นเอง ยังมีชาวจีนคนหนึ่งชื่อ นายเหยี่ยง แซ่เฮา ชาวจีน ซึ่งอพยพ มาจาก เมือง เจียงจิ้งหู มลฑลฟูเจี้ยน ได้เสนอบัญชีทรัพย์สิน และบริวารของตน เพื่อแลกกับสัมปทานผูกขาดธุรกิจรังนกบน เกาะสี่เกาะห้า ในทะเลสาบสงขลา เจ้าพระยาทั้งสองจึงพิจารณา แต่งตั้งให้ นายเหยี่ยง แซ่เฮา เป็นหลวงอินทคีรีสมบัติ นายอาการรังนกเกาะสี่เกาะห้า [34]

พระสงขลาได้ปกครองเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน อยู่จนถึงปี พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ดำริว่า พระสงขลา (โยม) หย่อนสมรรถภาพในการปฏิบัติราชการ จึงให้หลวงอินทคีรีสมบัติ (เหยียง แซ่เฮา) ซึ่งเป็นนายอากรรังนก เกาะสี่เกาะห้า เลื่อนตำแหน่งเป็น หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ เจ้าเมืองสงขลา คนถัดมาซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นสายสกุล ณ สงขลา ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองสงขลา มาถึง 8 รุ่น ในการปกครองสงขลาในช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาของการทำหน้าที่ปกป้องอาณาเขต และ รับใช้ราชการปกครองแทน เมืองหลวง ซึ่งตรงกับกรุงรัตนโกสินทร์ ปกครองโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชการที่ 2 ปัญหาหลักของการปกครองสงขลาคือการส่งกำลังไปร่วมกำกับและควบคุมหัวเมืองแขกต่าง ๆ ให้อยู่ในความสงบ โดยมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการรบหลายครั้ง ทำให้เจ้าเมืองสงขลา ในรุ่นต่าง ๆ ได้มีโอกาสแสดงความสามารถ และ ความภัคดีทางการรบ โดยในสมัยสงขลา ครั้งนี้มีเมือง แขก ปัตตานี ได้ถูกแยกออกเป็น เจ็ดหัวเมืองย่อย ได้มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสงขลา ซึ่งต่อมาชื่อเมืองต่าง ๆ ได้ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อถนน ในครั้งตั้งเมืองใหม่ ณ ฝั่งบ่อยาง เมืองทั้งเจ็ดมีรายชื่อดังนี้ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองเมืองยะลา เมืองรามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองสายบุรี และเมืองระแงะ และ เมืองสุดท้ายที่เข้ามาอยู่ใต้การกำกับดูแลของสงขลา ในช่วงปี พ.ศ. 2379 คือเมืองสตูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 3 และตรงกับ เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) ปกครองเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน เนื่องจากเมืองสงขลาฝั่งแหลมสนเป็นเมืองที่ถูกสร้างอย่างง่าย ๆ เพื่อรองรับการหนีภัยในช่วงเมืองแตก ทำให้เกิดปัญหาและ ข้อขัดข้องในการพัฒนาเมืองหลายประการตามมา ส่งผลต่อการพิจารณาย้ายเมืองในเวลาต่อมาไม่นานนัก

เจ้าเมืองสายสกุล ณ สงขลาที่ปกครองเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ดังนี้

ลำดับที่ 1. พระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (เหยี่ยง แซ่เฮา) พ.ศ. 2318-2327ลำดับที่ 2. เจ้าพระยาอินทคีรีศรีสมุทรสงครามรามภักดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ (บุญหุ้ย) พ.ศ. 2327-2355ลำดับที่ 3. พระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง) พ.ศ. 2355-2360สมัยเมืองสงขลาฝั่งบ่อยางแก้ไข

สร้างเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง สู่ความรุ่งเรือง และความมั่งคั่งของเมืองท่า จนถึงเมืองท่องเที่ยว จากการขยายตัวของเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ทำให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดเพื่อการอุปโภคบริโภค ทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับพื้นที่บริเวณสงขลาฝั่งแหลมสน เป็นพื้นที่ลาดชันเชิงเขา ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเมืองรวมถึง อาจเป็นอุปสรรคของการขยายตัวเป็นเมืองท่าในอนาคต ซึ่งจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ น่าจะเป็นข้อได้เปรียบ แต่เนื่องจากมีพื้นที่ในแนวราบไม่เพียงพอ จึงทำให้พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) ไปตั้งเมืองสงขลาใหม่ที่ตำบลบ่อยาง (สถานที่ปัจจุบัน) ตั้งแต่ พ.ศ. 2379 ซึ่งเมืองใหม่ที่สร้างขึ้น ก็ยังคงรักษาความเป็นเมืองท่าไว้อย่างเดิม โดยในเบื้องต้นของการสร้างเมือง พระยาคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) ได้เริ่มสร้างป้อม กำแพงเมืองยาว 1200 เมตร และ ประตูเมือง สิบประตู ตั้งแต่ พ.ศ. 2379 หลังจากนั้นจึงได้วางหลักเมือง (ไม้ชัยพฤษ์พระราชทาน) และสมโภชน์หลักเมืองในปี พ.ศ. 2385 และเรียกบริเวณพื้นที่นี้ว่า "เมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง" ก่อนที่พระยาคีรี (เถี้ยนเส้ง) จะถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2408

ถัดจากนั้น พระยาคีรี ลำดับต่อมา ได้เป็นเจ้าเมืองสงขลาต่อ และ ได้ดำเนินการพัฒนาสงขลาในลักษณะเมืองกันชนระหว่างเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นเมืองมุสลิมที่อยู่ทางตอนใต้ของสงขลา และ เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองพุทธศาสนิกชน โดยเมืองสงขลาได้อยู่ภายใต้การปกครองของสายสกุล ณ สงขลา ซึ่งมี นายเหยียง แซ่เฮา เป็นต้นสกุล รวมเจ้าเมืองสายสกุล ณ สงขลาที่ปกครองเมืองสงขลา บ่อยาง ดังนี้

ลำดับที่ 1. พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) พ.ศ. 2360 – 2390 ผู้เริ่มสร้างเมืองสงขลา บ่อยางลำดับที่ 2. เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสัง ณ สงขลา) พ.ศ. 2390 – 2408ลำดับที่ 3. เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) พ.ศ. 2408 – 2427ลำดับที่ 4. พระยาวิเชียรคีรี (ชุ่ม ณ สงขลา) พ.ศ. 2427 – 2431ลำดับที่ 5. พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) พ.ศ. 2431 – 2439

หลังจากเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ได้เป็นเจ้าเมืองสงขลาได้ประมาณปีเศษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จราชดำเนินมายังเมืองสงขลา และได้พระราชทานเงินบางส่วนเพื่อสร้างเจดีย์ บนยอดเขาตังกวน [35] ระหว่างปี พ.ศ. 2437-2439 เมืองสงขลาได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้ปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล โดยตั้งมลฑลนครศีธรรมราช ประกอบด้วย นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และ หัวเมืองแขกอีก เจ็ดเมือง โดยมี พระวิจิตร (ปั้น สุขุม) ลงมาเป็นข้าหลวงพิเศษว่าการมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งอาคารที่ว่าการอยู่ที่เมืองสงขลาบ่อยาง และลดบทบาทเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุคการปกครองแบบเจ้าเมืองไปด้วย ทั้งนี้เจ้าเมืองคนสุดท้ายในสายสกุล ณ สงขลา ที่ปกครองเมืองสงขลามามากกว่า แปดรุ่น ต่อมาประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนการปกครองอีกหลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยยกเลิกระบบเดิมทั้งหมด และยกระดับสงขลา ขึ้นเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย[36]

สงขลา

นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานติณฯ ถิ่นธุรกิจแดนใต้ 
ข้อมูลทั่วไป
ชื่ออักษรไทยสงขลา
ชื่ออักษรโรมันSongkhla
ผู้ว่าราชการนายธำรงค์ เจริญกุล
ต้นไม้ประจำจังหวัดสะเดาเทียมดอกไม้ประจำจังหวัดเฟื่องฟ้าข้อมูลสถิติพื้นที่7,393.889 ตร.กม.
(อันดับที่ 26)ประชากร1,401,303 คน (พ.ศ. 2557)
(อันดับที่ 11)ความหนาแน่น189.52 คน/ตร.กม.
(อันดับที่ 15)ศูนย์ราชการที่ตั้งศาลากลางจังหวัดสงขลา ถนนราชดำเนิน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา 90000โทรศัพท์(+66) 0 7431 2016, 0 7431 3206
ที่มาของชื่อ สงขลา
มีตำนานและเรื่องเล่าหลายเรื่องทั้งที่เป็นบันทึกและจากคำบอกเล่าถึงชื่อของเมืองสงขลาหลายประการด้วยกัน ซึ่งพอจะแจกแจงตามเอกสารที่มาได้ดังนี้

ชื่อเมืองสงขลาได้ปรากฏชื่อในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 ว่าเป็นเมืองประเทศราชในจำนวน 16 หัวเมือง และในเอกสารที่บันทึกโดยคนไทยอีกหลายฉบับที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเมืองสงขลาได้บันทึกประวัติของชื่อเมืองสงขลาว่า มาจากบันทึกของพ่อค้า และนักเดินเรือชาวอาหรับเปอร์เซีย ระหว่างปี พ.ศ. 1993-2093 ในนามของเมือง "ซิงกูร์" หรือ "ซิงกอรา" แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์และการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยามของนายนิโกลาส แซร์แวส เรียกชื่อเมืองสงขลาว่า "เมืองสิงขร" [4] โดยได้สันนิษฐานว่าคำว่าสงขลาในปัจจุบันน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "สิงหลา" หรือ "สิงขร" แปลว่าเมืองสิงห์ เนื่องมาจากการที่พ่อค้าชาวเปอร์เซียอินเดีย ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้แล่นเรือผ่านมาค้าขายและแลเห็นเกาะหนู-เกาะแมว ซึ่งเมื่อมองจากทะเลเข้าหาฝั่งในระยะไกล ๆ จะเห็นปรากฏเป็นภาพคล้ายสิงห์สองตัวหมอบเฝ้าปากทางเข้าเมืองสงขลา ชาวอินเดียจึงเรียกเมืองสงขลาในสมัยนั้นว่า "เมืองสิงหลา" ส่วนคนไทยเรียกว่า "เมืองสทิง" เมื่อแขกมลายูเข้ามาค้าขายกับเมืองสิงหลา ก็จะออกเสียงเพี้ยนเป็น "เซ็งคอรา" เมื่อฝรั่งเข้ามาค้าขายก็เรียกตามมลายูแต่เสียงเพี้ยนเป็นสำเนียงฝรั่งคือ "ซิงกอรา" (Singora) จากนั้นคนไทยพื้นถิ่นเองก็ได้เรียกตามเสียงมลายูและฝรั่งเพี้ยนเป็นคำว่า "สงขลา" ดังปัจจุบัน

นอกเหนือจากนี้ เอกสารชิ้นนี้ยังอธิบายต่อถึงความเป็นไปได้อีกสาเหตุหนึ่งว่า คำว่าสงขลาน่าจะเป็นการเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "สิงขร" ที่แปลว่าภูเขา เนื่องจากเมืองสงขลาในยุคดั้งเดิมตั้งอยู่เชิงเขา และต่อมาเจ้าเมืองคนแรกยังได้รับพระราชทานนามว่า "วิเชียรคีรี" ซึ่งสอดคล้องกับเมืองที่อยู่แถบภูเขา สอดคล้องกับสุภาวดี เชื้อพราหมณ์ ที่ได้บันทึกว่าสงขลาเพี้ยนมาจากภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลี เนื่องจากชาวอินเดียล่องเรืออ้อมแหลมมลายูมาสู่ฝั่งตะวันออก เมื่อมองจากทะเลเข้าสู่ฝั่งสงขลาแลเห็นภูเขาเป็นปราการธรรมชาติ จึงเรียกว่า สิงขระ หรือ สิงขร ซึ่งคำไทยสิงขร หมายถึง ภูเขา ต่อมาชาวตะวันตกจึงเรียกตาม และเพี้ยนเป็นคำว่า ซิงโกรา หรือ ซิงกอรา เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น

เหตุผลสุดท้ายที่เอกสารในเอกสารการศึกษาความเป็นไปได้ก็คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชวินิจฉัยไว้ว่า "สงขลา" เดิมชื่อสิงหนคร (สิง-หะ-นะ-คอน) แต่แขกชาวมลายูพูดเร็วและออกเสียงเพี้ยนกลายเป็น สิง-คะ-รา แต่ออกเสียงเป็น ซิงคะรา หรือ สิงโครา จนมีการเรียกเป็น ซิงกอรา[5] [6]

ในส่วนเอกสารของชาวตะวันตกที่กล่าวถึงสงขลาในช่วงเวลาต้น ๆ ซึ่งสามารถค้นย้อนหลังไปได้ถึงสามร้อยปีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยปรากฏชื่อเมืองสงขลาในแผนที่ของประเทศสยามที่ทำโดยนายเชอวาลีเย เดอ โชมอง ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทยระหว่าง พ.ศ. 2228 [7]

นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5-6 การปรากฏตัวของเมืองท่า และแหล่งโบราณคดีที่แสดงว่า มีผู้คนจากต่างแดนเข้ามาปะทะสัมพันธ์ น่าจะมีเหตุผลจาก การแสวงหาโชคลาภและโภคทรัพย์ของผู้คนทางตะวันตกดั่งเช่น กรีซ และ โรมัน จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาของการค้นพบเส้นทางการค้าทางทะเลที่เกิดขึ้นใหม่ คู่ขนานและเชื่อมโครงข่ายกับเส้นทางการค้าทางบก

ต่อมาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 8 ได้เกิดอุปสรรคทางภูมิศาสตร์และความปลอดภัย ในการใช้เส้นทางบกระหว่างดินแดนทางตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะพวกโรมันและรัฐในกลุ่มเอเชียกลาง จึงหันมาใช้เส้นทางทะเลแทน เพื่อใช้ค้าขายติดต่อกับอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน โดยการเดินทางเชื่อมระหว่างสองทวีปในระยะแรก ๆ นี้ ไม่ใช่เป็นการเดินทางแบบรวดเดียวถึงกันตลอด แต่ต้องมีจุดหยุดพักเป็นระยะ ๆ โดยอาศัยเมืองท่า และสถานีพักสินค้า เพื่อถ่ายสินค้า เพิ่มเติมน้ำจืดและอาหาร รวมไปถึงการซ่อมแซมเรือจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง [8]

ทั้งนี้หากย้อนกลับมาพิจารณาจากทำเลที่ตั้งของภาคใต้ของประเทศไทย ที่เป็นคาบสมุทรตั้งอยู่ระหว่างประเทศที่เป็นอู่อารยะธรรม คือ ประเทศจีน ประเทศอินเดียประเทศแถบอาหรับเปอร์เซีย และประเทศแถบชวา-มลายู จะพบว่า ดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นดินแดนที่อยู่ในตำแหน่งเส้นทางการค้าขายทางทะเล รวมถึงเป็นดินแดนที่พ่อค้าชาวแขกมัวร์ ใช้เส้นทางนี้เดินทางค้าขายทางเรือ โดยอาศัยลมสินค้าในสมัยโบราณที่จำกัดโดยสภาพภูมิศาสตร์ และเทคโนโลยีการต่อเรือ รวมถึงการเดินเรือซึ่งในสมัยนั้น ต้องอาศัยทิศทางและกำลังลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเดินทางจากอินเดียไปยังจีน และอาศัยลมมรสุมจากตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเดินทางจากจีนไปยังอินเดีย และบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรไปถึงเส้นห้าองศาเหนือ เป็นพื้นที่อันตรายเพราะเป็นเขตจุดเริ่มต้นของลมสินค้า ลมจะสงบนิ่ง (ไร้กระแสลม เรียกว่าโดลดรัม Doldrums) เมื่อลมเบาบางจนทำให้เรือสินค้าเคลื่อนที่ไม่ได้ ที่เรียกว่า "ตกโลก"[9] ก็เป็นการบังคับให้พ่อค้าต้องแวะตามเมืองท่าชายฝั่งภาคใต้ของไทย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตรเพื่อจอดซ่อมแซมเรือ เติมน้ำจืดและอาหาร รวมถึงขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรกลางทางในรอบปี โดยการขนถ่าย แลกเปลี่ยนสินค้านี่เอง ทำให้เมืองท่าต่าง ๆ ในคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยในสมัยที่มีการเดินเรือทะเล มีความเจริญรุดหน้า จากการค้าขายเป็นอันมาก นอกจากนั้น สินค้าที่สำคัญที่ผลักดันให้ชาวตะวันตกต้องแสวงหาและเดินทางมายังเมืองท่าในคาบสมุทรมลายูคือ เครื่องเทศ เช่น ว่าน กระวาน ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย พริกไทย กานพลู อบเชย ดีปลี จันทน์เทศ ทำให้เส้นทางการเดินเรือดังกล่าว ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางเครื่องเทศ [10]


ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ



เดือนเมษายน

เดือนเมษายน เอิงก็เริ่มเรียนพิเศษคะคือหาไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว แต่ว่าพี่ที่จะมาสอนเขายังไม่ว่างก็เลยเริ่มเรียนเดือนเมษายน ที่ๆเอิงไปเรียนพิเศษก็ไม่ได้เป็นโรงเรียนนะคะแต่เป็นพี่นักศึกษาที่มาจากมหาลัยจุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล ที่เอิงลงคือภาษาอังกฤษคะแต่พอจบคอสอังกฤษจะเพิ่มคอสภาษาฝรั่งเศสไปด้วยเลย ตอนแรกเอิงก็หาที่เรียนไปเรื่อยๆเนี่ยแหละคะแต่บางที่ ที่เจอก็ไม่น่าไว้ใจ เผอิญมีญาติเอิงแนะนำ จุฬาติวเตอร์มาบอกว่าสอนดี สอนเข้าใจ แล้วเขาก็จะปรับพื้นฐานให้ด้วย เอิงก็เลยแอดไลน์ไปคุยกะพี่นักศึกษาคะพี่เขาเลยอธิบายรายระเอียดมาว่าคอสนึงเท่าไหร่ ชั่วโมงนึงเท่าไหร่ คนนึงหรือกี่คนเท่าไหร่ แล้วก็บอกวิชาที่สอน อีกอย่างเอิงชอบตรงที่เขาให้นัดที่ ที่เราสะดวกแต่เขาก็มีกำหนดไว้ให้นะคะว่าที่ไหนบ้างถ้านอกเหนือจากนั้นพี่เขาขอแค่ค่ารถเท่านั้นเอง พี่เขาก็เป็นกันเองคะวันไหนที่เราไม่สะดวกไปสามารถเรียนทางวีดีโอกับเขาได้เลยคะเขาสอนตัวต่อตัวไม่มีเด็กคนอื่นมาปนแน่นอน แล้วก็จี้จุดที่เราบกพร่องด้วยคะถ้าเพื่อนๆสนใจก็มาถามเค้าได้เลย(แต่จากที่ถามไปไม่มีใครสนใจเลยเพราะว่าบ้านอยู่ไกล)

ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช

ประวัติความเป็นมา





                  สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชหรือแหล่งสงวนชีวมณฑลสะแกราช
ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2510 โดยมีภารกิจการวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยา 
จนถึงขณะนี้มีผลงานวิจัยในพื้นที่แห่งนี้มากกว่า 200 เรื่องขณะเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2519
สถานีฯ สะแกราชได้รับการรับรองจาก UNESCO ภายใต้โครงการ MAB (Man and Biosphere 
Program) ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลแห่งหนึ่งของโลกซึ่งเป็นแห่งแรก ของประเทศไทย 
และเป็น 1 ใน 7 แห่งของเอเซียในขณะนั้น ขณะนี้แหล่งสงวนชีวมณฑลมีจำนวน  529  แห่ง
ใน  105  ประเทศ  (ข้อมูล 23 พฤศจิกายน  ปี  2550)

    จากความสำคัญของพื้นที่และมีผลงานวิจัยจำนวนมากซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่ ทำให้การรวบรวมและจัดระบบฐานข้อมูลของผลงานวิจัยและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องของแหล่ง สงวนชีวมณฑลสะแกราช เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อนำความรู้ต่างๆ  ดังกล่าว ถ่ายทอดสู่สังคม ทั้ง นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป และเป็นข้อมูลที่ใช้ในการวางแผนการ วิจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเป็นข้อมูลที่จะใช้ในการแลกเปลี่ยนระหว่างแหล่งสงวน ชีวมณฑลแห่งอื่นๆ ทั่วโลก

              

  ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ (ศลช.),
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  (สวทช.)
ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการ 
MAB/UNESCO ของประเทศไทย และประสานการดำเนินงานบริหาร
จัดการความหลากหลายทาง ชีวภาพของประเทศ



ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

เดือนมีนาคม

ช่วงเดือนมีนาคมนะคะที่เอิงหายไปจากบล็อกนั้น(จริงๆไม่ได้หายหรอกคะแต่บทความมันไม่ขึ้น)ก็ในช่วงนั้นก็ไปต่างจังหวัดคะเพราะปิดเทอมแล้วก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าที่กทม.ด้วยเพราะว่าคุณปู่เสียไปเรียบร้อยคุณย่าก็อายุมากแล้วไม่มีใครอยู่กับท่านครอบครัวเอิงเลยมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่คะเพราะย้ายของจากบ้านที่นครปฐมมากทม.เกือบหมดเลย(พวกเสื้อผ้าของจำเป็นต่างๆ)แล้วก็จัดการธุระเรื่องของปู่อีก ช่วงที่ผ่านมาไปไหนเลยต้องเอาคุณย่าไปด้วยทุกที่เลยคะเพราะท่านไม่ยอมอยู่คนเดียวเลย ส่วนไปต่างจังหวัดเดือนมีนาคมไปสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช พอดีที่ไปเพราะว่าคิดว่าจะไปฝึกภาษากับชาวต่างชาติด้วยน่ะคะแล้วเผอิญปู่(ปู่อีกคนนะคะไม่ใช่คนที่เสีย)ของเอิงดันสนิทกับผอ.ที่สถานีวิจัย เอิงเลยเข้าไปได้ง่ายสบายเลย แต่ว่าก็เป็นเวลาแค่ไม่กี่วันคะเพราะว่าผอ.มีไปดูงานที่ญี่ปุ่น ผอ.เลยบอกว่าไว้เขากลับมาจะโทรบอกให้มาได้ เอิงก็เลยถามไปตรงๆเลยว่าถ้าครั้งหน้าเอิงมาเอิงจะต้องทำอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าให้เอิงไปสำรวจป่ากะพวกทีมวิจัยแล้วก็เหมือนเป็นล่ามไปในตัว พอตกเย็นก็เหมือนปกติคือทานข้าวร่วมกันสนทนาไปเรื่อย แต่การสนทนาเนี่ยแหละคะที่ทำให้เรารู้ภาษามากขึ้น แล้วอีกอย่างนะคะที่นั้นมีเชฟเป็นคนต่างชาติทำอาหารให้กินตลอดวันคะ รับรองไม่อดตายแน่นอนผอ.รับประกัน เอิงก็เลยบอกตกลงเลยคะว่าจะไปแน่นอน เขาก็โอเคคะบอกถ้ามาจะเตรียมห้องไว้ให้อยู่รวมกับนักวิจัยต่างชาติ เอิงก็โอเคคะ เห็นไหมล่ะคะว่าเอิงก็พัฒนาภาษาตลอดนะถึงแม้จะพูดได้งูๆปลาๆก็เถอะคะแต่ว่าถ้าเรากล้าพูดนะคะ ขอแค่พูดไปถ้าเราผิดฝรั่งจะช่วยแก้ให้เราคะพูดผิดดีกว่าไม่พูดจริงไหมคะ เดี๋ยวบทความหน้าเอิงเอาประวัติของสถานีวิจัยมาให้อ่านดีกว่าเนอะ

ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

ข้อผิดพลาด

แถลงการนิดนึงคะคือบทความที่ผ่านมานั้นเป็นบทความจากบล็อกเก่านะคะ คือเอิงพยายามเข้าบล็อกเก่าคะแต่มันไม่ได้แล้วเอิงก็ไม่รู้ว่ามันเกิดปัญหาอะไรในบล็อกคือเอิงโพสต์ไปเยอะมากในหลายๆเดือนที่ผ่านมาแต่พออีกอาทิตย์เอิงกำลังจะเข้าบล็อกรหัสดันไม่ถูกต้องe-mailก็ไม่ใช่ที่สำคัญคือบทความที่โพสต์มาไม่ขึ้น แล้วเอิงก็เปลี่ยนชื่อพอดีเลยคิดว่าถ้ามันเข้าอันนั้นไม่ได้ก็จะย้ายมาทำอันนี้แทนต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่หายไปไม่ได้ตั้งใจจะหายไปเลยนะคะ คือมันเกิดปัญหาจริงๆ แต่ตอนนี้เลยแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ไปก่อนนะคะแล้วเอิงก็จะพยายามทำบทความให้เยอะที่สุดเลยคะเพราะว่ามันเป็นปัญหาของเอิงยังไงต้องขอโทษทุกคนมา ณ ที่นี้เลยนะคะ แล้วก็ขอโทษอาจารย์เกรียงไกรด้วย คือหนูก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบล็อกอันเก่าหนูขอส่งบล็อกอันนี้แทนนะคะอาจารย์

ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

มาริโอ้


มาริโอ้เจ้าตูบที่โชคดี


ไหนๆก็โพสต์เรื่องเจ้าตูบแล้วนะคะเอิงเลยนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเจอเจ้าตูบตัวนึงที่สนามจันทร์ตอนนั้นเอิงพาสุดแสบที่บ้านไปเดินเล่นคะเลยไปเจอกัน สุดแสบของเอิงวิ่งเข้าไปหาเจ้าตูบตัวนึงเอิงก็ยืนดูพ่อแม่เอิงก็เริ่มคุยกับเจ้าของคะว่าน่ารักจังเลยชื่ออะไร บลาๆๆๆเจ้าของเจ้าตูบเลยเล่าว่าเมื่อก่อนเจ้าตูบไม่ได้สวยอย่างนี้หรอกคะ ถ้าได้เห็นตอนก่อนหน้านี้จะตกใจมากๆเลย พ่อแม่เอิงก็เริ่มถามต่อคะว่ามันเป็นอะไร เขาเลยเอารูปให้ดู เอิงถึงกับตาโตเลยคะเพราะมันเป็นขี้เรื้อนทั้งตัวคะเอิงนี้นับถือพี่เขามากเลยแล้วพี่เขาก็เริ่มเล่าว่ามีคนเอาเจ้าตูบแสนน่ารักตัวนี้มาทิ้งที่วัด(ดูคนเราทำสิคะใจร้ายสุดๆ)พี่เจ้าของเชาเลยเก็บมารักษาเพราะเห็นว่าป่วยตอนแรกแค่จะรักษาแต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆก็อย่างที่เห็นคะเขาก็เลี้ยงดูมาจนถึงทุกวันนี้ เอิงเล่ามาซะเยอะเลย555ไปอ่านดูนะคะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง GO GO GO




เวลาเพื่อน ๆ ไปเจอสุนัขจรจัดข้างถนนที่มีสภาพไม่น่าดู ร่างกายมีแต่แผล เป็นโรคผิวหนังทั่วทั้งตัว เพื่อน ๆ รู้สึกยังไงคะ? ... สำหรับคนรักน้องหมาแล้ว เชื่อว่านั่นต้องเป็นภาพที่สร้างความรู้สึกหดหู่และสะเทือนใจมาก ๆ บางคนอยากจะช่วยเหลือน้องหมามาก แต่พอคิดถึงเรื่องของการที่จะต้องรับผิดชอบในการดูแลและค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ต้องถอดใจ เพราะไม่สามารถแบกรับภาระดังกล่าวได้ ... แต่สำหรับบางคน ถึงแม้จะรู้ว่าภาระที่ต้องแบกรับจากการช่วยน้องหมานั้นหนัก แต่เขาก็เต็มใจเพราะอยากให้โอกาสให้สุนัขเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น

เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราวน่าประทับใจของสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวหนึ่งที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ที่วัดจนขี้เรื้อน แถมยังป่วยสารพัดโรค สุดท้ายกลับได้ชีวิตใหม่หลังจากมีหญิงสาวใจบุญคนหนึ่งรับมันไปรักษาและเลี้ยงดูจนแข็งแรง ...

วันนี้ Dogilike มีโอกาสได้พูดคุยกับ "คุณตูน" หญิงสาวใจดีที่ช่วยชีวิต "มาริโอ้" น้องหมาไซบีเรียนโชคร้ายตัวนั้นเอาไว้ เรามาติดตามเรื่องราวระหว่างคุณตูนและเจ้ามาริโอ้กันดีกว่าค่ะว่า ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาได้เจอกันจนมาถึงวันนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และคุณตูนมีวิธีดูแลมาริโอ้ยังไงให้กลับมาเป็นน้องหมาไซบีเรียนที่สดใสน่ารักได้


ครั้งแรกที่ได้พบกับมาริโอ้ ...


ตูนเจอกับมาริโอ้ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐมค่ะ ตอนนั้นตูนเอาข้าวไปให้หมาที่วัด ตอนที่ตูนเจอมาริโอ้สภาพของเขาผอมมาก เป็นขี้เรื้อเปียกและแห้งทั้งตัว แต่ตูนสังเกตเห็นว่าตาของเขาเป็นสีฟ้าซึ่งก็น่าจะเป็นน้องหมาไซบีเรียนแน่ ๆ เขาเดินมาเอาหัวสีกับขาแล้วก็ขออาหารเม็ดที่ตูนเอามาให้หมาวัดกิน พอเขากินได้ซักพักเขาก็ล้มลง คือตูนเป็นสภาพเขาแล้วตูนรู้เลยว่าเขาป่วยหนักมาก


อะไรที่ทำให้ตัดสินใจรับมาริโอ้มาดูแล




คือจากสภาพที่ตูนเห็นเขาในตอนนั้นคิดว่าเขาต้องอยู่เองไม่ได้แน่ ๆ ตูนเลยตัดสินใจอุ้มขึ้นรถแล้วเอาไปรักษาเลย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องช่วย ถ้าไม่ช่วยเขาต้องตายแน่ ๆ ตอนนั้นพาไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์แถวราชมรรคา แล้วก็ไประดมทุนจากโครงการช่วยเหลือน้องหมา และจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในพันทิป ซึ่งตอนนั้นเหมือนจะขึ้นในพันทิปว่า “ขอความกรุณาช่วยเหลือน้องไซบีเรียนที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพ ” หลังจากขอความช่วยเหลือไปก็มีผู้ใจบุญหลายคนช่วยค่ารักษาพยาบาลมาริโอ้

สำหรับการรักษาครั้งนั้นมาริโอ้ต้องอยู่กับหมอที่โรงพยาบาลนาน 3 เดือน ระหว่างที่รักษาตูนก็จะไปเยี่ยมเขาตลอด แล้วก็จะบอกว่า "แม่ไม่ทิ้งโอ้นะ" ก็คือ เราพูดอย่างนั้นเพื่อให้เขามีสุขภาพดี แล้วเราก็จะพาเขาวิ่งเล่นที่สวนในโรงพยาบาล เพื่อให้เขารู้สึกว่าเรารักเขา เราไม่ทิ้งเขา แล้วตูนก็เชื่อว่าหมอให้ยาให้อะไรอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าหมาสุขภาพจิตดี ถ้าเขามีความสุขมันส่งผลมากกว่ายา ก็เลยหมั่นไปเยี่ยมจนจากตอนแรกที่เข้าโรงพยาบาลหมอบอกว่าเขาเป็นขี้เรื้อนเปียก ขี้เรื้อนแห้ง พยาธิในเม็ดเลือด ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วก็ค่าเม็ดเลือดขาวต่ำ ตรวจเลือดมาแล้ว เม็ดเลือดแดงต่ำกว่าเลือดเม็ดเลือดขาว เลือดเขาค่อนข้างที่จะใสมาก คุณหมอพูดเลยว่าดูแล้วโอกาสรอดก็ 50 50 วันนั้นตูนเลยพูดกับมาริโอ้ว่า "แม่ไม่ทิ้งหนูนะ" แล้วก็หมั่นไปเยี่ยมเขาทุก ๆ วัน

ตูนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นห่วงเขามาก พอไม่ไปเยี่ยมก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ได้ไหม แต่ดีที่เขาฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากสภาพจิตใจของเขาดี แล้วเราก็ไม่รังเกียจก็หอมกอดเขาเหมือนเขาไม่ได้เป็นขี้เรื้อน ก็คิดว่าพอเราถ่ายทอดความรักแล้วเขารับรู้ทุกอย่างส่งผลให้สุขภาพเขาฟื้นตัวได้เร็ว และในที่สุดตูนก็รับเขากลับมาดูแลที่บ้านค่ะ พอมาริโอ้ออกจากโรงพยาบาลทางโครงการเขาก็โอนค่ารักษามาให้หมอประมาณ 50,000 กว่าบาทแล้วก็ส่วนที่เหลือเขาก็จะตัดค่ารักษาไปเรื่อยทุกอาทิตย์ แล้วเราก็จะเอาใบเสร็จมารายงานการรักษาผ่านทางพันทิปและเฟสบุ๊ค 

การพามาริโอ้กลับมาดูแลที่บ้านจะต้องระวัดระวังในการดูแลมาก ๆ เพราะโรคที่เขาเป็นคือโรคขี้เรื้อนถ้าดูแลไม่ดีก็จะสามารถกลับมาเป็นได้อีก ช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา มาริโอ้เป็นโรคนี้ประมาณ 3 ครั้ง ดังนั้นพอเขาเริ่มมีขี้เรื้อขี้นเราก็จะรีบรักษาทันทีไม่รอให้เป็นเยอะ จนตอนนี้มาริโอ้ไม่มีขี้เรื้อนขึ้นแล้ว ตูนคิดว่ามันไม่ใช่แค่การดูแล แต่มันต้องบวกกับความรักและให้ความสุขที่สุดกับเขาด้วย ทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ


เริ่มหาบ้านใหม่ให้มาริโอ้ ...



ตอนแรกตูนไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงมาริโอ้เอาไว้เอง แต่ตั้งใจว่าจะดูแลจนกว่าจะแข็งแรกแล้วก็หาบ้านใหม่ให้เขา ช่วงแรกที่หาบ้านให้มาริโอ้ตอนนั้นเขาหายป่วยดีแล้วแต่ขนยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ตูนก็ตัดสินใจหาบ้านให้เขา โดยจะมีกฏระเบียบคือ ถ้าใครสนใจอยากจะรับเลี้ยงมาริโอ้ก็ให้ส่งรูปบ้านมาให้ดูก่อน ถ้าเราเห็นว่าโอเคก็จะติดต่อขอเบอร์โทรศัพท์และให้มาเจอมาริโอ้ที่บ้าน มาเรียนรู้นิสัยใจคอ มาดูว่าสภาพของมาริโอ้เป็นแบบนี้จะรับได้หรือไม่ ถ้าเขาโอเคตูนก็จะพามาริโอ้ไปเที่ยวบ้านเขา เพื่อไปดูว่าบ้านเขาพร้อมจริงไหม

ส่วนเมื่อถึงเวลาส่งมอบ ตูนก็จะทำสัญญาอุปการะ ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็ต้องส่งหมาคืนเรา ห้ามปล่อย ห้ามทิ้ง ห้ามให้คนอื่น เจ็บป่วยต้องรักษา ตอนนั้นมีคนติดต่อมาขอมาริโอ้เยอะมาก ตูนก็คัดเลือกจนเหลือประมาณ 10 กว่าคน และก็นัดให้เขามาเยี่ยมมาริโอ้ มาดู มาคุยกันเรียบร้อยแล้ว คนที่ หนึ่ง สอง สาม ที่เราตัดรอบแรกสุดท้ายเขาก็ไม่มา เหมือนกับว่าเขาไปอ่านข้อมูลมาริโอ้เยอะ ๆ ว่าเป็นโรคนั้นโรคนี้ เป็นทั้งภูมิคุ้มกันบกพร่องแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นขี้เรื้อนได้อีก เขาก็เลยปฏิเสธกัน ตูนหาบ้านให้มาริโอ้อยู่นานหาจนปลายปีของปี 2555 คือส่วนใหญ่มาดูแล้วรับนิสัยมาริโอ้ไม่ได้เพราะมาริโอ้เป็นหมาที่ไฮเปอร์มากกระโจนใส่ กัดของ ทำลายของ กัดนก แกล้งหมาตัวอื่นในคอก บวกกับมาริโอ้มีโอกาสที่จะป่วยได้ง่ายอีกก็เลยไม่มีใครมารับไปเลี้ยง เพราะเขาคงกังวลว่าถ้ามาดูแล้วรับไป อาจจะดูแลไม่ไหวในระยะเวลาต่อมา


เมื่อหาบ้านให้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเลี้ยงเองและดูแลอย่างดี


พอหาบ้านให้เขาไม่ได้ ตูนก็เลี้ยงตัดสินใจเลี้ยงมาริโอ้เอาไว้เอง ก็เลี้ยงเอาไว้กับน้องหมา น้องแมวตัวอื่น ๆ ที่เก็บมาเลี้ยง ... แต่ช่วงปีแรกที่เอามาริโอ้มาเลี้ยงเขาจะเป็นขี้เรื้อนบ่อยมากเป็นประมาณ 3-4 ครั้ง พอเป็นแล้วก็จะขึ้นเป็นเม็ด เป็นตุ่มแล้วก็แดง แล้วก็มีเลือดไหลตามรูขุมขน เป็นเหมือนขี้เรื้อนเปียกเป็นตุ่มแล้วปะทุแตก ตูนก็ให้เขากลับไปกินยา แล้วก็เอากลับไปรักษาที่โรงพยาบาล แล้วก็ทางโรงพยาบาลเก่าก็แนะนำให้ลองไปตรวจกับที่โรงพยาบาลสัตว์เกษตรว่ามาริโอ้แพ้อะไรกันแน่เพราะว่าไม่หายสักทีช่วงปีแรก

พอเริ่มไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์เกษตร คุณหมอก็บอกว่าต้องเคลียร์เรื่องขี้เรื้อนให้ได้ก่อนว่ามาริโอ้แพ้อะไร ก็กินยาอยู่ ประมาณ 3-4 เดือนแล้วก็หาย คุณหมอเลยบอกว่าไม่น่าแพ้อะไรแล้ว แต่ให้งดเนื้อไก่ หลังจากการรักษาช่วงแรกก็มีคนส่งน้ำมันปาล์มและอาหารเสริมต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัว มาริโอ้ก็เลยดีขึ้น แต่ตั้งแต่ปีแรกมาริโอ้กินยามาเยอะเลยทำให้ตับของเขาไม่ดี เราก็ต้องเริ่มเปลี่ยนมาหยดยา ฉีดยาใต้ผิวหนัง ให้น้ำเกลือ แล้วอาการโรคผิวหนังก็หายสักพักใหญ่ ๆ แล้วก็มาเป็นโรคประเพาะปัสสาวะอักเสบอีกทีหนึ่ง ตอนนั้นตูนสังเกตเห็นว่าเขาไม่กินข้าวไม่รู้เป็นอะไร ก็พาไปหาหมอก็กินแต่ยาฆ่าเชื้อ กินไปแต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ หมอก็เลยขอตรวจปัสสาวะ ผลออกมาก็คือปัสสวะอักเสบ หมอก็ให้เคลียร์ตรงกระเพาะปัสสวะอักเสบ ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ตูนก็ใช้เงินบริจาคของมาริโอ้ที่เหลืออยู่ในบัญชีรักษาเขา แล้วก็มีพี่คนหนึ่งส่งเงินมาเพื่อให้ไปซื้ออาหารรักษาโรคนิ่วของยี่ห้อรอยัล คานิน พอมาริโอ้หายอีกเดือน 2 เดือน เขาก็มีอาการอึดำ ไม่กินข้าว ซึม ๆ เอาไปตรวจอีกหมอก็หาสาเหตุไม่ได้ พออึอีกทีมีเลือดปนก็พาไปหาหมออีกรอบ หมอหาสาเหตุไม่ได้เลยตัดสินใจเอามือล้วงเข้าไป เลยรู้ว่าเป็นมะเร็ง มีเนื้อร้ายทีหูรูดทวาร แล้วหมอก็ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ปรากฏว่าเนื้อที่ตรวจเป็นเนื้อร้ายเป็นมะเร็ง

พอรู้ว่าเขาเป็นมะเร็งตูนก็เครียดนะคะ เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นหนัก แล้วก็เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย คือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ตูนก็เลยตัดสินใจระดมทุนในการรักษามาริโอ้ เอาของมาประมูลผ่านทางเฟซบุ๊ค ตอนนั้นมีหลายคนมาก ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือเรา มีอยู่คนหนึ่งเขารู้ว่าตูนช่วยเหลือหมาแมวจรจัดเขาก็โอนเงินมาให้เลย 7,000 เราก็เอาเงินไปใช้จ่ายค่ารักษาผ่าตัดมะเร็งหูรูดใมห้มาริโอ้ ส่วนเงินที่เหลือจากการผ่าตัดก็เอาไปซื้ออาหารให้มาริโอ้กับน้องหมาน้องแมวตัวอื่น ๆ ซึ่งพวกค่าใช้จ่ายนี้ปกติตูนก็จะแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายตลอดเพื่อความสบายใจของผู้ที่บริจาคเงินช่วยเหลือน้องหมาทุกคน


ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับในการช่วยเหลือน้องหมาน้องแมว


ตูนไม่ค่อยได้คิดเรื่องเงินนะคะ คือถ้าข้าวหมดเราก็ซื้อ ตูนจะซื้อข้าวสารกับอาหารเม็ดแล้วก็อาหารสุนัขแช่แข็งเอามาต้มคลุกรวมกัน บางทีก็จะซื้อเศษเนื้อปลาแซลมอนชิ้นเล็ก ๆ มาต้มให้มาริโอ้กิน ... แต่ในบางเดือนที่ช็อตมาก ๆ ตูนก็จะแบ่งเงินที่ใช้รักษาน้องหมามาเป็นค่าอาหาร หรือถ้ามีเพื่อน ๆ เมตตาเขาก็จะโอนเงินมาช่วย ตูนก็จะแจกแจงบัญชีให้เพื่อน ๆ ที่บริจาคเงินได้ทราบว่าเราใช้เงินไปเท่าไหร่ แต่ตูนก็ไม่ได้ขอระดมทุนทุกเดือนนะคะ ก็จะใช้เฉพาะช่วงที่เราไม่มีเงินจริง ๆ


คิดยังไงกับ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์

ตูนคิดว่าดีนะคะ เพราะกฏหมายค่อนข้างที่จะครอบคลุมและช่วยเหลือสุนัขหมาแมวได้ดีกว่า พ.ร.บ. เดิม แล้วก็มีการตราใช้เป็นกฏหมาย แล้วคนสามารถช่วยเหลือสัตว์ได้ดีกว่ากฏหมายเดิม เพราะว่ากฏหมายเก่าอยู่ในดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ อย่างถ้าเจ้าของทำร้ายหมา โมโหที่หมากัดไก่ ในสายตาคนรักหมาคิดว่ามันทารุณแล้ว แต่ถ้าเราไปแจ้งความเจ้าหมาที่อาจมองไปว่าการกระทำอย่างนี้ไม่ทารุณ เป็นวิธีการเลี้ยง แล้วตามกฏหมายหมาเป็นทรัพย์สิน การทารุณของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่พอกฏหมายนี้ตราขึ้น คือการที่ทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการทารุณกรรมในสายตาเรา แล้วกฏหมายมันมากกว่าเดิม ก็จะครอบคลุมในส่วนของเจ้าของทำร้ายหมาเข้าไปด้วย แล้วบางคนเลี้ยงหมาเพื่อที่จะข่มขืนสนองความต้องการทางเพศ ถามว่าตำรวจทำอะไรได้ไหม ทำได้ถ้าจะทำ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว หมาคือทรัพย์สิน แต่กฏหมายบังคับใช้การทำเช่นนี้ก็จะเข้าข่ายการทารุณกรรม อยากให้กฏหมายประกาศใช้เร็ว ๆ จังเพราะอย่างน้อยมันทำให้คนคิดหน้าคิดหลังที่จะหาประโยชน์กับสัตว์ และคิดที่จะทำร้ายสัตว์


สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังคิดจะเลี้ยง และกำลังเลี้ยงน้องหมาอยู่


ถ้าคุณจะเลี้ยงหมาพันธุ์คุณก็ควรจะศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์นั้น ๆ ก่อนตัดสินใจเลี้ยงว่าน้องหมาพันธุ์นั้นมีนิสัยเป็นอย่างไร อย่าง ไซบีเรียน เวลาเรามองก็จะมองว่าคนเลี้ยงไซบีเรียนดูดีดูสง่า แล้วเรารู้สึกว่าเราเลี้ยงไม่ได้หรอก แล้ววันหนึ่งเอาเขามาเราไม่รู้หรอกว่าไซบีเรียนมันซน ปีน ทำลายของ เราต้องรับนิสัยนี้ของเขาให้ได้ ดังนั้นใครสักคนที่คิดจะเลี้ยงหมาให้คิดเยอะ ๆ โดยเฉพาะหมาพันธุ์ว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร ถ้าคุณโอเค รับตรงนี้ได้ ค่อยตัดสินใจที่จะเลี้ยง แต่ถ้าคุณลังเลไปลองเลี้ยงหมาไทยก่อน แล้วคุณจะหลงเสน่ห์หมาไทย เพราะหมาไทยมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่หมาบางพันธุ์ก็สู้ไม่ได้ อย่างเรื่องความซื่อสัตย์ ความรักเจ้าของ เลี้ยงง่าย ปัญหาโรคไม่ค่อยมี ดูแลง่ายกว่าหมาพันธุ์ แล้วก็เรื่องโรคผิวหนัง ก็มีหลายคนเข้ามาปรึกษาเราว่าถ้าถ้าเป็นโรคแบบนี้ต้องทำอย่างไร เราก็เขียนคุยกับเขาว่า ต้องใจเย็นนะ คุณเชื่อไหมว่าพลังความรักมันมีค่ามากกว่ายาแล้วก็อาหารนะ คุณพาเขาไปรักษา คุณเคยคิดที่จะกอดเขาไหม บอกให้เขารู้ว่าคุณรักเขา คุณไม่รังเกียจ ตูนเชื่อว่าหมาทุกตัวก็เหมือนกับคนเมื่อมันมีสารแห่งความสุขมันก็จะหลั่งสารตรงนั้นมา ทำให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี ตูนเชื่อย่างนั้นนะ แล้วส่วนอาหารเนี่ย อย่างไก่นี่ไม่ควรกิน ก็ควรให้น้องกินปลา ถ้ากินอาหารเม็ดก็ให้กินสูตรที่ไม่มีเนื้อไก่ หรืออาหารสูตรโฮลิสติก ดูแลสุขภาพสุนัข แต่ถ้าน้องติดข้าว อาจหุงข้าวกล้องคลุกกับปลาต้มกับผักให้น้องกินสักเดือนหนึ่ง หรือให้น้องกินน้ำมันปลา แล้วใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิว ทาตัวเขาให้น้ำมันมันขึ้นที่ร่างกายก็อาจทำให้ขนขึ้นเร็วขึ้น แล้วก็อย่ารังเกียจ หมั่นอาบน้ำเป่าให้แห้ง คือเราให้กำลังใจทุกคนที่เขียนมาถามว่า จะต้องทำอย่างไรกับหมาของเขา แล้วก็มีบางเคสจะทิ้งหมา เพราะมีปัญหากับแฟน เราก็บอกว่า แฟนเนี่ยอยู่กับเราไม่นานหรอกนะ ถ้าเขาเจอสิ่งที่ดีกว่าเขาอาจจะไปก็ได้ แต่หมาจะอยู่กับเราไม่ทิ้งเราไปสิบยี่สิบปี ถึงวันหนึ่งเขาเจอสิ่งที่ดีกว่าเขาก็ไม่ไปจากเรา ... ดังนั้นต้องจำไว้เสมอว่า สำหรับน้องถ้าเราไม่มีเขาเราอยู่ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีเราเขาอยู่ไม่ได้นะ คือ เราควรจะมองดวงตาของพวกเขา ไม่ว่าเราจะตีเขา เราจะยังเห็นดวงตาของเขามีเราในดวงตา เพราะฉะนั้นรักเขาไปเถอะค่ะแล้วเขาจะมอบความรักกลับมาให้คุณทั้งชีวิตเลย

ได้อ่านเรื่องราวของเจ้ามาริโอ้และคุณตูนแล้ว ต้องบอกว่าความรักเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ สามารถเปลี่ยนชีวิตน้องหมาตัวหนึ่งที่กำลังจะตายให้กลับมามีชีวิตที่สดใสได้อีกครั้ง ... นี่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้วว่า สำหรับน้องหมาความรักจากผู้เลี้ยงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและสามารถช่วยเยียวยาความเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจให้กับน้องหมาได้เป็นอย่างดี และจะเป็นการดีมากถ้าหากความรักความเมตตานั้นยังเหลือเผื่อแผ่ไปถึงน้องหมาไร้บ้านไร้เจ้าของตัวอื่น ๆ ด้วย



เป็นไงล่ะคะพี่เขาใจดีใช่ไหมล่ะ เอิงเองยังรู้สึกดีเลยถึงแม้จะรู้เรื่องจากปากเจ้าตัวแล้วก็ตามพอมาอ่านอีกทีก็ยังรู้สึกดีอยู๋เลย มันดูเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่เลยนะคะกับการต่อชีวิตเจ้าตูบตัวนี้ ลองคิดดูนะคะว่าถ้าพี่เขาไม่เก็บมาดูแลเจ้าตูบจะเป็นยังไง....ใช่คะถูกเลยเจ้าตูบต้องตายแน่นอนถึงไม่ตายก็อยู่อย่างทรมาน ไหนจะนึกถึงเจ้าของ ไหนจะอาการป่วย โอ้ยยแค่คนเราเป็นหวัดทียังจะแย่เลยคะแล้วเจ้าตูบเป็นขนาดนี้คิดเอาล่ะกันคะว่ามันจะหนักขนาดไหน แต่ก็รู้สึกดีนะคะที่ยังเห็นคนในประเทศเรามีจิตใจที่ดีอยู่บ้าง ใครอยากเจอเจ้าตูบก็ไปสนามจันทร์บ่อยๆนะ555เจ้าตูบจะมาวิ่งกับเจ้านายบ่อยๆ












ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ

รัก

รัก...ของสุนัข


สวัสดีคะวันนี้เอิงมีเรื่องเกี่ยวกับน้องหมามาให้อ่านกันด้วย เพื่อนๆหลายๆคนคงเลี้ยงสุนัขกันใช่ไหมคะ เอิงเองก็เลี้ยงสุนัขคะเอิงเลี้ยงพันธุ์ชิวาวา แสบสุดๆแต่มันรักคนในครอบครัวมากคะเป็นห่วงตลอด จะไปเข้าห้องน้ำทีก็จะมีเจ้าตัวแสบวิ่งไปเฝ้าตลอดคะ 555แล้วเพื่อนๆที่เลี้ยงสุนัขเคยรู้ไหมคะว่าน้องสุนัขสุดแสบของพวกเราเขาคิดยังไงบ้าง อ่าาาาคงไม่รู็กันสินะคะงั้นลองอ่านกันดูนะคะแล้วคุณจะรู้ว่าสุดแสบของคุณเขาคิดยังไง











     







ความรักของแต่ละคนมีความเชื่อ อุดมการณ์ แตกต่างกันไป บางคนรักเพื่อแบ่งปัน บางคนรักเพื่อมั่นคง บางคนรักเพื่อความร่ำรวย แต่สำหรับน้องหมาแล้วความรักที่พวกเขามีต่อผู้เลี้ยงมั่นคงและบริสุทธิ์มาก ๆ มีหัวใจรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นแบบแผนความรักที่แม้ขนาดคนรักยังต้องอาย ซึ่งถ้าใครที่เลี้ยงน้องหมาจะรู้เลยว่า ความรักที่พวกเขามีให้เรานั้น หวานเจี๊ยบ ไม่มีเก่า เหมาะกับนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่เรามาก ๆ เลยล่ะค่ะ



1. รัก ... ไร้เงื่อนไข



ความรักของน้องหมาไม่ได้อยู่ที่ภายนอกว่าจะรักเจ้าของที่มีหน้าตาแบบไหน มีรถกี่คัน บ้านกี่หลัง มีอาหารพรีเมี่ยมให้กินทุกมื้อหรือไม่ แต่ความรักของพวกเขาอยู่ที่ใจของพวกเขาเอง เมื่อใดที่พวกเขารัก ยอมรับใครสักคนเป็นเจ้าของของชีวิตแล้วพวกเขาจะรักไม่เสื่อมคลาย ไม่มีตัวแปรใดมาเปลี่ยนแปลงความรักของพวกเขา ไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข ซึ่งความรักเช่นนี้เองที่ชีวิตคู่ควรจะมีแต่กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากที่สุด


2. ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง




น้องหมาซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง หิว โมโห ไม่พอใจ ดีใจ น้อยใจ กลัว กังวล พวกเขาแสดงออกมาอย่างซื่อตรงเสมอ (แต่อาจพังบ้านได้นะคะ) พวกเขาไม่ปิดกั้นความรู้สึก แสดงออกตรงข้าม แล้วนำมาสู่ความเข้าใจผิด หรือปล่อยให้อีกฝ่ายกังวลใจ คิดไปเอง ซึ่งการซื่อตรงต่อความรู้สึกนี้เองจะช่วยให้ความสัมพันธ์เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน วุ่นวาย และพร้อมจะแก้ปัญหาไปด้วยกัน




3. ซื่อสัตย์ จงรักภักดี



สิ่งที่เป็นอันตรายมากที่สุดในทุกความสัมพันธ์ก็คือ การหลอกลวง โกหก ไม่ซื่อสัตย์ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น แม้แต่ความรักไร้เงื่อนไขก็อาจะสูญสลายได้เพราะสิ่งนี้ น้องหมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าของของพวกเขา พร้อมจะปกป้อง คุ้มกันภัย ซื่อตรง และไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะมีคนที่ดูดีกว่า ดูร่ำรวยกว่า มีที่อยู่อาศัยใหญ่โตกว่าเจ้าของมาสนใจ ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจไปอยู่อาศัยด้วย พวกเขาก็ยังคงรักและซื่อสัตย์กับเจ้าของ หรือถึงแม้จะโดนทำโทษก็ยังคงซื่อสัตย์ จงรักภักดีเว้นเสียแต่ว่าถูกเจ้าของทำร้ายสะสมจนกลายเป็นความเครียดแล้วจึงตอบโต้เพื่อการป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ใช่การแก้แค้น แล้วไม่เคยที่จะคิดหนีออกไปไหน(ยกเว้นหนีออกไปเที่ยวเล่น) ยังคงอยู่ปกป้องเจ้าของจากผู้อื่นเสมอ



4. ไม่ทำร้ายจิตใจใคร



น้องหมาไม่ได้เป็นพวกอยู่ดีๆ เดินผ่านก็แว้งกัด หรืออารมณ์หงุดหงิดก็พาลวิ่งไล่กัดเจ้าของหรือคนอื่น แต่พวกเขาจะมีเหตุผลที่ทำร้ายร่างกายนั้น เช่น ถูกรังควาญทำให้เครียดหงุดหงิด โดนเด็ก ๆ ดึงหางเล่น กรี๊ดใส่ มีคนใส่เสื้อผ้าลุ่มล่าม ถือไม้ ดูไม่น่าไว้ใจ ตีทำร้ายพวกเขา เป็นต้น ซึ่งการทำร้ายร่างกายใครสักคนมักเป็นการทำเพื่อป้องกันตัว ยิ่งกับคนที่พวกเขารัก ยิ่งไม่ทำร้ายเลยค่ะ ส่วนเรื่องของการทำร้ายจิตใจ ... น้องหมามีใจที่ซื่อตรง จงรักภักดี ไม่มีความซับซ้อนพอขนาดทำร้ายจิตใจใครได้ อาจทำได้เพียงทำลายข้าวของที่เรารักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ... ซึ่งไม่ว่าจะทั้งการทำร้ายร่างกายและจิตใจที่น้องหมาทำนั้น หากมองดี ๆ แล้วจะเห็นเลยว่า พวกเขาไม่มีเจตนาร้ายหรือต้องการทำให้ใครเจ็บช้ำ หากเรามีสติ ละเว้นการเจตนาหรือตั้งใจจะทำร้ายจิตใจคนอื่นหรือคนที่รัก ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์งดงาม อยู่กันอย่างเบาสบายทั้งใจเรา ใจเขาค่ะ


5. เป็นมิตรแท้ พร้อมร่วมทุกข์ ร่วมสุข




น้องหมาเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ พวกเขาพร้อมบุกลุยไปกับเราทุกที่ อยู่เคียงข้างแม้ในยามที่เราสุข หรือทุกข์ เจ็บป่วย ไม่สบาย ไม่ทิ้งกัน เพียงแค่อยู่ข้าง ๆ เอาหน้ามาซบไหล่ ซบขา เลียมือ ก็ช่วยทำให้คนที่พวกเขารักรู้สึกดี ถึงจะช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้เลยก็ตาม การที่จะใครสักคนมีความทุกข์ มักแค่ต้องการใครสักคนนั่งข้างๆ อาจไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร ขอเคียงข้างไม่หนีไปไหน ไม่ทิ้งกัน หรือจับมืออย่างอ่อนโยน ... แค่นั้นก็เพียงพอ

6. อยู่กับปัจจุบัน



น้องหมานั้นพวกเขามีชั่วขณะปัจจุบันเป็นกุญแจสำคัญของการมีชีวิตที่เป็นสุข หากเราทำโทษเขา พวกเขาจะไม่โกรธเคือง เคืองแค้น พอเราเดินไปอีกก็กระดิกหางดีใจ ลืมว่าตะกี้ถูกตีไปแล้ว พวกเขาจึงมีความสุขได้ค่อนข้างง่าย ไม่จมกับอดีต ไม่กังวลอนาคต ถึงแม้วันหนึ่งพวกเขาจะต้องพิการหรือต้องแยกจากเจ้าของ พวกเขาอาจจะรู้สึกเศร้าบ้างที่ไม่เป็นเหมือนเดิม แต่ไม่นานพวกเขาก็จะปรับตัวได้ และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่ ความรักก็เช่นกัน หากเราคบใครสักคน การได้อยู่กับคนที่รักเพียงปัจจุบันขณะจะทำให้เรารู้สึกเบิกบาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายึดติดกับความผิดของอีกฝ่ายในอดีต กังวลเรื่องในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร คอยจับผิด คิดไปเอง ก็จะทำให้เราคลาดช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตได้ค่ะ



7. มีอารมณ์ขัน



น้องหมาถึงจะเป็นสายพันธุ์ดุโหดอย่างพิทบูลล์ พวกเขาก็จะมีมุมน่ารัก ขี้เล่น มุ้งมิ้งกับเจ้าของ เรียกรอยยิ้มเสียงหัวเราะให้แก่คนในครอบครัวได้ ซึ่งการที่เราสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่ชีวิตคู่ ทำอะไรน่ารัก ตลก ๆ งี่เง่าบ้าง เพื่อทำให้อีกฝ่ายได้หัวเราะ (ทิ้งอีโก้ออกไปซะบ้าง) ก็ทำให้เราพลอยมีความสุขไปด้วย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเราและเขาให้รู้สึกผูกพันกันมากขึ้นด้วยรอยยิ้ม และบรรยากาศของความสุขค่ะ



8. ประจบเอาใจบ้างเป็นบางเวลา



เรื่องประจบเอาใจ เป็นเรื่องปกติมากของน้องหมาทุกสายพันธุ์ พวกเขามักจะประจบด้วยการขอนอนหนุนนอนบนตัก คอยคลอเคลีย เอาคางมาเลย เอาขามาพาด ดู ๆ ไปก็เป็นการเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ แต่ก็เพราะพวกเขาต้องการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่รักจนขอออเซาะออดอ้อน จนเราก็เผลอใจอ่อนยอมลูบหัว เล่นกับน้องหมา ซึ่งในความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ การประจบเอาใจก็ไม่ได้มีอะไรน่าเสียหาย เสียศักดิ์ศรี หรือน่ารำคาญเสมอไปนะคะ หากเป็นการเรียนรู้การให้ เพิ่มความหวานให้ชีวิตคู่ จะได้ไม่เคร่งเครียดจนเกินไปอีกทั้งยังเป็นการเอาใจใส่แบบน่ารัก ๆ ส่วนคนที่ไม่นิยมความหวาน ลองเอาใจดูขำ ๆ ก็ได้ค่ะ ไม่แน่คู่รักอาจรู้สึกเซอร์ไพรส์ จนหัวใจพองโต ^0^



9. เป็นนักฟังที่ดี ใส่ใจการสื่อสารของอีกฝ่าย




อาจเพราะน้องหมาพูดไม่ได้พวกเขาก็เลยทำหน้าที่เป็นพูดฟังได้ดี ไม่มีขัดจังหวะเวลาเราบ่น หรือระบายความทุกขฺกับน้องหมา แต่ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ขณะที่เราคุยกับเขา ถึงฟังไม่ออก ตอบไม่ได้ เขาก็มองเรา ตั้งใจฟัง ไม่พยายามเลี่ยงหรือหนีจนทำให้เรารู้สึกไม่มีค่า ดังนั้น ถ้าคนที่เรารักอยากจะพูด บ่น หรือระบายอะไรให้ฟังเราก็แค่รับฟัง ไม่ขัดคอ พยายามแสดงว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา แม้เราจะไม่เห็นด้วยไปทั้งหมด บางคนอาจคิดว่าทำไมต้องเออออตามไปด้วยเหมือนไร้สมอง แต่ลองมองกลับกันดูนะ ถึงเวลาเราอยากระบาย เราก็ไม่ได้ต้องการความเห็น ขอแค่มีคนรับฟังอย่างตั้งใจใช่ไหมคะ ... คนที่เรารักก็เช่นกันค่ะ ^^


10. มีวินัย เสมอต้นเสมอปลาย



น้องหมานั้นมีนาฬิกาชีวิตที่ชัดเจนมาก พวกเขาจะรู้ทันทีว่าเวลาใดควรทำอะไรตารางเวลาอย่างสม่ำเสมอ แทบไม่ต้องรอให้เจ้าของบอก ไม่ว่าจะตื่นนอน กินข้าว ออกไปวิ่งเล่น ทักทายเจ้าของ รอเจ้าของกลับบ้าน หากิจกรรมเล่นด้วยกัน พวกเขาไม่มีโปรโมชั่น ซึ่งความเสมอต้น เสมอปลาย ใส่ใจคู่รักอย่างสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง จืดจางตามกาลเวลานี้เอง เป็นการสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้แก่ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ให้อยู่ยื่นยงยาวนานค่ะ



ชีวิตรักของเพื่อน ๆ มีปรัชญาความรักฉบับหมา ๆ กันกี่ข้อคะ พริกมีอยู่ไม่ถึง 5 ข้อเลย (ฮา) ถึงว่าความสัมพันธ์ชักแกว่ง ๆ สงสัยคงถึงเวลาแล้วที่จะปรับชีวิตรักทั้งกับครอบครัวและเพื่อนฝูงใหม่ เอาใจตัวเองเป็นใหญ่ให้น้อยลง เพราะการทำให้คนที่เรารักมีความกับสุขได้นั้น ... เริ่มต้นจากความรักของเรา ...สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะ ^^



โหอ่านเเล้วเป็นไงบ้างล่ะคะ ถึงเห็นแสบๆแบบนั้นเจ้าสุดแสบก็รักเรามากๆเลยนะคะ อีกอย่างเอิงอยากบอกว่า ใครที่ซื้อเจ้าตูบมาแล้วเมื่อเขาไม่สบายหรือป่วยอย่าทิ้งเขานะคะ เลี้ยงเขารักเขาให้เหมือนตอนที่เราเจอเขาครั้งแรก อย่าทิ้งขว้างเขา เขามีหัวใจเหมือนพวกเรา มีความรู้สึกและคิดเป็น การที่เอาเขามาอยู่ด้วยแล้วเขารู้สึกผูกพันกับเรามากๆนะคะ อย่าให้เขาเหงาอย่าให้เขาอด ดูแลเขาให้ดีๆนะคะ...เพราะเขารักคุณมากกว่าที่คุณจะคาดถึง



ขอบคุณคะ
ชัญญากัญ